อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (6.1)

 

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’

(ตอนที่ 6.1)

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

 

[su_note note_color=”#e5e5d9″ radius=”0″]ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นการตีความและอธิบายเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจ แปลกใหม่ และสมควรให้คุณพ่อคุณแม่ในประเทศไทยรับทราบ จากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา แปลโดย สุภลัคน์ ลวดลาย วรัญญู กองชัยมงคล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ bookscape พ.ศ. 2562 โดยแปลจากหนังสือ Child Psychology: A Very Short Introduction เขียนโดย Usha Goswami เนื่องด้วยผมอ่านแล้วเสียดายแทนท่านที่มิได้อ่าน อีกทั้งเดาว่าหากมิใช่นักวิชาการด้านเด็กแล้วก็อาจจะไม่อยากอ่าน[/su_note]

 

บทที่ 6 การเรียนรู้ของสมอง ตอนที่ 1

 

แล้วเราก็มาถึงบทที่สำคัญที่สุด และเป็นเรื่องที่เราอยากให้เด็กไทยมีมากที่สุด

สมองของเด็กปัจจุบันเริ่มต้นด้วยการอ่าน เขียน และคำนวณเป็นพื้นฐาน ก่อนจะพัฒนาไปสู่ขั้นตอนคิดวิเคราะห์ นี่คือโครงร่างอย่างง่ายๆ แต่ปัญหาของบ้านเราคือ เราทำลายโครงร่างอย่างง่ายๆ นี้ด้วยระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ได้อย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้วันนี้คือเด็กไทยอ่านไม่ออก อ่านจับใจความไม่ได้ เขียนไม่ได้ เขียนไม่รู้เรื่อง ไปจนถึงคิดเชิงตรรกะไม่ได้และคิดวิเคราะห์ไม่เป็น

การคิดวิเคราะห์เริ่มจากวิธีคิดแบบ deduction ในบทที่แล้ว “แมวทุกตัวเห่า เร็กซ์เป็นแมว เร็กซ์เห่าไหม” คำตอบคือใช่ นี่เป็นการอ้างเหตุผลเชิงตรรกะที่เด็ก 4 ขวบเรียนรู้และยอมรับได้ก่อนที่จะเผชิญความจริงที่ค้านกับเหตุผล นั่นคือแมวไม่เห่า

บทที่ 6 นี้ยกอีกหนึ่งตัวอย่างมาพิจารณา หมีทุกตัวในดินแดนไกลโพ้นตอนเหนือที่มีหิมะตกมีสีขาว หมู่เกาะโนวายาเซมล์ยาเป็นดินแดนไกลโพ้นตอนเหนือที่มีหิมะตก ขนหมีที่นั่นจะมีสีอะไร?

หากถามชาวนา เขาจะไม่ตอบและให้ไปถามคนที่นั่น แต่ถ้าถามเด็กที่ได้เรียนตรรกะ เขาจะใช้เหตุผลเชิงตรรกะควบคู่กับประสบการณ์ตรง ด้วยวิธีนี้เขาจะขยายโลกทัศน์ออกไปได้โดยไร้ขอบเขต (นั่นคือไม่ต้องเดินทางไปถามคนที่นั่นก็หาคำตอบได้)

[โนวายาเซมล์ยา (Novaya Zemlya) อยู่ทางตอนเหนือของรัสเซีย และเคยเป็นเขตทดลองนิวเคลียร์]

 

หมีขาวที่โนวายาเซมล์ยา
ที่มา: https://siberiantimes.com

 

การศึกษาช่วยให้เด็กกลายเป็น ผู้เรียนที่รู้จักขบคิดใคร่ครวญ’ เพราะทักษะทาง ‘อภิปัญญา’ (การตระหนักรู้ถึงปัญญาความรู้ของตนเอง) จะพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงที่เด็กศึกษาเล่าเรียน และ “การศึกษาเล่าเรียนช่วยให้เด็กโตเรียนรู้วิธีเอาชนะอคติหรือความลำเอียงที่อาจขัดขวางการใช้เหตุผล เช่น ความลำเอียงโดยยืนยันเหตุผลเข้าข้างตนเอง (confirmation bias)

ยกตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือ Animal Farm ของจอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ควรประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือการตระหนักรู้ถึงปัญญาความรู้ของตนเอง และขั้นตอนที่สองคือเอาชนะความลำเอียงโดยยืนยันเหตุผลเข้าข้างตนเอง เป็นต้น

พูดง่ายๆ ว่าเราอยากให้เด็กไทยรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร และจะเอาชนะความไม่รู้นั้นได้อย่างไร มากกว่าที่จะรู้มากๆ อย่างที่การศึกษาไทยทำอยู่

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือการพัฒนาความจำใช้งานและทักษะสมองด้านการบริหารจัดการ หรือ Executive Function (EF) ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถยับยั้งความคิด อารมณ์ และการกระทำได้

เด็กที่ทบทวนตนเองได้ดีกว่าจะมีอภิปัญญาสูงกว่า สามารถ “ใคร่ครวญ” ทักษะประมวลผลของตนเอง สามารถตรวจสอบ “ประสิทธิภาพของการทำงาน” ของสติปัญญาตนเอง และสามารถ “ตระหนักรู้” ถึงสมรรถนะของสติปัญญาตนเอง ขอให้ใส่เครื่องหมายอัญประกาศ (เครื่องหมายคำพูด) ให้ถูกตำแหน่ง จะเห็นว่าจุดสำคัญมิได้อยู่ที่ทักษะประมวลผลหรือสติปัญญา แต่เป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น (อภิ- หรือ epi-)

หนังสือได้ยกตัวอย่างงานทดลองการท่องจำระหว่างเด็กเล็กกับเด็กโต พบว่าเด็กโตพัฒนากลไกท่องจำได้ดีกว่า จากนั้นจึงทดลองการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ พบว่าเด็กโตเชื่อมโยงสัญลักษณ์ได้ดีกว่า ประเด็นคือเด็กโตควรมีอภิปัญญามากพอที่จะใคร่ครวญถึงกลไกที่เคยทำ นั่นคือการท่องจำ แล้วก้าวข้ามไปสู่กลไกที่สูงกว่า นั่นคือการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ ทว่าปัญหาของบ้านเราคือ เด็กมักจะติดอยู่กับที่เดิม ไม่ก้าวข้ามต่อไป

แม้แต่เรื่องความจำ เด็กที่ใส่ใจส่วนที่อยู่เหนือกว่า (อภิ- หรือ epi-) ความจำ จะจดจำได้ดีกว่า โดยทดลองให้เด็กกลุ่มหนึ่งดูวิดีโอที่ฉายภาพวิธีจำรูปภาพชุดหนึ่ง พบว่าเด็กที่บรรยายวิธีจำได้ดีกว่าจะจดจำได้มากกว่า จากงานทดลองนี้นำไปสู่อีกสองคำที่ควรรู้คือ “ความยากง่ายในการเรียนรู้ (ease of learning) และความมั่นใจในสิ่งที่รู้ (feeling of knowing) โดยทั่วไปความยากง่ายในการเรียนรู้ไม่สัมพันธ์กับอายุ กล่าวคือ เด็กโตบางคนไม่ได้พัฒนาความสามารถนี้ และโดยส่วนใหญ่คนเราประเมินจากความมั่นใจในสิ่งที่รู้มากกว่าความเป็นจริง

ยกตัวอย่างหนังสือสองเล่มของจอร์จ ออร์เวลล์ หนังสือเล่มแรกคือ Animal Farm นั้นอ่านง่ายและเข้าใจได้ง่ายกว่าหนังสือเล่มที่สอง นั่นคือ Nineteen Eighty-Four แต่สำหรับผู้ที่อภิปัญญาไม่สูงนักย่อมไม่สามารถใคร่ครวญสมรรถนะของสติปัญญาและความยากง่ายในการเรียนรู้ของตนเองว่าอ่านหนังสือทั้งสองเล่มรู้เรื่องมากเพียงใด

เรื่องต่อไปคือเรื่องทักษะสมองด้านการบริหารจัดการ แปลมาจากคำว่า Executive Function (EF) ซึ่งสัมพันธ์กับสติปัญญาทั่วไป ทักษะภาษา และความจำใช้งาน ช่วยให้เด็กสามารถควบคุมยับยั้งความคิด นำไปสู่การควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำ

สิ่งที่ควรรู้คือ EF สามารถพัฒนาได้ แม้ในเด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียน

หนังสือกล่าวถึงเรื่อง “ความสามารถที่จะชะลอความต้องการเติมเต็มความพอใจ” หรือ delayed gratification โดยยกตัวอย่างการทดลองที่ห้ามไม่ให้เด็กหยิบขนมจนกว่าจะได้ยินเสียงกริ่ง และอีกประเด็นคือเรื่อง “การยับยั้งความคิด” หรือ inhibitory control โดยยกตัวอย่างการทดลองที่เรียกว่า Go-No Go task ซึ่งกำหนดให้เด็กพูดว่ากลางวันเมื่อเห็นดวงจันทร์และพูดว่ากลางคืนเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ สมองจะบริหารจัดการโจทย์เหล่านี้ได้ด้วย EF ที่ดี กล่าวคือ ยับยั้งหนึ่ง พูดอีกหนึ่ง

อีกประเด็นคือเรื่องสิ่งเร้าหรือสิ่งยั่วยวน สมองเด็กจะบริหารจัดการได้ดีกว่าเมื่อจัดการสิ่งเร้าหรือสิ่งเย้ายวนที่มาก่อกวนสมาธิได้ดี เด็กสมาธิสั้นได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่มี EF Deficit แต่ถ้าเราเข้าใจและแยกแยะกลไก EF ได้ ก็น่าจะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้มากขึ้น

“ทักษะภาษาที่อ่อนด้อยทำให้เด็กไม่อาจควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำผ่านการพูดคุยกับตัวเองในใจอย่างเต็มที่”

จะเห็นว่าเด็กที่พูดคนเดียวระหว่างเล่นคนเดียวหรือทำงานคนเดียว แท้จริงแล้วเขากำลังฝึกทักษะภาษา (private speech) หรือที่มากกว่านั้นคือเขากำลังบริหารความจำใช้งาน (working memory)

อีกเรื่องหนึ่งของ EF คือความยืดหยุ่นทางปัญญา (cognitive flexibility) ได้แก่ “ความสามารถคิดสลับไปมาระหว่างงานที่แตกต่างกัน และการพิจารณาหลากหลายมุมมองในเวลาเดียวกัน” จะเห็นว่าเด็กสมัยใหม่ในยุคไอทีไม่สามารถทำงานชิ้นเดียวตรงหน้าอย่างซื่อๆ พวกเขาจำเป็นต้องมีความสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multi-task) และได้ผลลัพธ์ที่ดีทุกงานอีกด้วย เด็กไทยทำงานแบบนี้มิได้หากสมองไม่มี EF ที่ดีพอ เพราะการระดมยิงข้อมูลข่าวสารอย่างท่วมท้นในปัจจุบันเป็นภาระหนักของสมองมากเกินกว่าที่การท่องจำอย่างซื่อๆ และตอบข้อสอบปรนัยอย่างง่ายๆ จะรับมือได้อีกต่อไป

แม้เราจะพูดถึงเฉพาะ EF แต่ขณะเดียวกัน EF ก็สัมพันธ์กับ Ego อย่างใกล้ชิด EF ที่ดีช่วยให้เด็กมีความสามารถล่วงรู้จิตใจตนเองไปจนถึงล่วงรู้จิตใจผู้อื่น โดยพบว่าเด็กหญิงพัฒนาเร็วกว่าเด็กชาย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเด็กหญิงมักพัฒนาทักษะภาษาได้เร็วกว่าเด็กชายนั่นเอง

 

______________________

 

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (1)

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (2)

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (3)

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (4)

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (5.1)

อ่าน ‘จิตวิทยาเด็ก’ กับ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (5.2)