อ่าน “คนรุ่นใหม่ วัยวิตก”

บุลวัชร เสรีชัยพร เขียน

หากใครคิดว่า คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญความเครียดมากขึ้น เป็นทุกข์ วิตกกังวลกว่าเดิม และอาการป่วยทางจิตกำลังขยายวงกว้างในหมู่เด็ก เยาวชน ไปจนถึงคนที่กำลังก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ นักจิตวิทยาสังคม โจนาธาน ไฮดต์ (Jonathan Haidt) ผู้โด่งดังจากหนังสือยอดนิยมซึ่งพาผู้อ่านไปสำรวจปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ อย่าง วิทยาศาสตร์แห่งความสุข (The Happiness Hypothesis) หรือ ความถูกต้องอยู่ข้างใคร (The Righteous Mind) ได้นำเสนอหลักฐานในหนังสือเล่มใหม่ล่าสุด คนรุ่นใหม่ วัยวิตก (The Anxious Generation) แล้วว่า

คุณไม่ได้คิดไปเอง

สุขภาพจิตกำลังเข้าขั้นวิกฤต

ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ไฮดต์และเพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นความเปลี่ยนในหมู่นักศึกษาทุกๆ ปี ในด้านสภาวะจิตใจ ไปจนถึงทัศนคติต่อโลกและต่อตัวเอง

สถิติและงานวิจัยภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นหลายชิ้นชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อัตราความผิดปกติทางจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า ไบโพลาร์ คลั่งผอม ความรู้สึกแปลกแยก ไปจนถึงการใช้สารเสพติด และการเข้ารักษาฉุกเฉินจากการพยายามฆ่าตัวตาย เพิ่มสูงขึ้นมากในกลุ่มคนเจนซี (รุ่นที่เกิดหลังปี 1995) และคนรุ่นมิลเลนเนียลตอนปลายของหลายประเทศ แบบสำรวจ U.S. National Survey on Drug Use and Health ปี 2020 ของสหรัฐฯ พบภาวะซึมเศร้าในเด็กหญิงและเด็กชายวัย 12-17 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากถึง 150% เมื่อเทียบกับปี 2010 และไม่เพียงแต่เด็กๆ หรือวัยรุ่นเท่านั้น แต่งานวิจัยหลายชิ้นยังชี้ว่า ทั้งผู้ใหญ่เจนเอกซ์และเจนวายก็มีอาการวิตกกังวลมากขึ้นเช่นกัน

เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา (อายุ 12-17 ปี) ผู้ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ข้อมูลนี้ได้จากรายงานด้วยตัวเองตามกลุ่มอาการที่ระบุไว้ให้เลือก ภาพประกอบนี้มาจากภาพประกอบ 7.1 ในหนังสือเรื่อง The Coddling of the American Mind ซึ่งได้นำมาปรับปรุงเพิ่มข้อมูลต่อจาากปี 2016 (แหล่งที่มา: U.S. National Survey on Drug Use and Health)

สถานการณ์สุขภาวะระดับโลกเหล่านี้ ทำให้ไฮดต์ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีปัจจัยทางสังคมบางอย่างหรือหลายอย่างที่เป็นตัวการขับเคลื่อน “การเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่ของวัยเด็ก” (Great Rewiring of Childhood) ซึ่งเชื่อมโยงกับวิกฤตทางสุขภาพจิตที่กำลังแพร่ระบาดนี้

นำมาสู่โจทย์หลักของ The Anxious Generation ที่มุ่งค้นหาว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในช่วงปีดังกล่าว และมันส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและจิตใจมนุษย์อย่างไร โดยไฮดต์ได้เสนอว่ามีปัจจัยหลักๆ อย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้

1. พ่อแม่ที่หวาดกลัว และ ความไว้ใจที่พังทลาย

นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เมื่อครอบครัวมีขนาดเล็กลงและผู้คนใช้เวลาทำงานและอยู่ในระบบการศึกษามากขึ้น พ่อแม่มือใหม่ที่เข้าไม่ถึงภูมิปัญญาเดิมจากบรรพบุรุษเริ่มพึ่งพา “ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงเด็ก” และยึดติดกับกระบวนการที่ “ถูกต้อง” ซึ่งจะการันตีความสำเร็จของลูกๆ พ่อแม่ทำตัวเป็นช่างไม้ที่ต้องการผลิตเด็กให้ได้ตามมาตรฐานของตัวเอง พวกเขาเริ่มควบคุมและปกป้องลูกอย่างเกินกว่าเหตุ ถึงขั้นมองว่า “การเลี้ยงเด็กอย่างรับผิดชอบหมายถึงการสอดส่องอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ แนวคิดแบบ “นิรภัยนิยม” (safetyism) ซึ่งความปลอดภัยกลายเป็นค่านิยมที่ได้รับการยกย่อง ประกอบกับการขยายตัวของสื่อที่นำเสนอข่าวอาชญากรรมต่างๆ ยังโหมประโคมให้เกิดความหวาดกลัวว่า ทุกคนและทุกสิ่งคือภัยคุกคามต่อลูกหลานตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่เริ่มไม่ยอมให้เด็กๆ ได้ออกไปเล่นนอกบ้านตามใจชอบโดยไม่มีผู้ใหญ่ที่รู้จักสักคนคอยคุม ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองที่ยังให้อิสระกับลูกก็จะถูกมองว่าทอดทิ้งละเลยเด็ก เยาวชนจึงยิ่งมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่จะได้เติบโตอย่างอิสระและสัมผัสการเล่นโลดโผนเร้าใจในโลกความเป็นจริง รวมถึงเสียโอกาสที่จะทำกิจกรรมอีกมากมายซึ่งจะเปิดทางให้พวกเขาได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้พิสูจน์ศักยภาพของตนผ่านการพยายามอย่างสุดกำลัง และเติบโตแข็งแกร่งขึ้นผ่านการ “กระทบกระเทือน” เพื่อให้พร้อมเผชิญโลกกว้างและอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง

ไฮดต์อธิบายว่า ยิ่งเด็กๆ ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะจัดการปัญหาและความขัดแย้งด้วยตัวเอง ผู้ใหญ่ก็ยิ่งขาดความเชื่อมั่นในตัวพวกเขาและเข้ามาควบคุมมากขึ้น นิยามของ “ความปลอดภัย” ค่อยๆ ขยายขอบเขตจากทางกายภาพ ครอบคลุมไปถึงความปลอดภัยทางอารมณ์ที่ (ผู้ใหญ่เชื่อว่า) เด็กๆ จัดการเองไม่ได้ และหมายรวมถึงการปกป้องเด็กๆ จาก “ความระคายเคืองใจ” ที่ (ผู้ใหญ่เชื่อว่า) พวกเขาคลี่คลายเองไม่เป็น

พ่อแม่และโรงเรียนจะหาทางปกป้องเด็กทุกวิถีทางให้ไม่ต้องพบเจอกับโลกความจริงที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่แล้วในที่สุด เด็กๆ กลับต้องโตไปรับมือกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาไม่คุ้นเคยอย่างโดดเดี่ยวและไม่พร้อม

การปกป้องที่มากเกินไปในโลกจริง และการปกป้องที่น้อยเกินไปในโลกเสมือน คือสาเหตุหลักที่เด็กผู้เกิดหลังปี 1995 กลายเป็นคนรุ่นวิตกกังวล

2. การมาถึงของสมาร์ตโฟนในรุ่นของเจนซี

เจนซีเป็นหนูทดลองการเติบโตแบบใหม่ แบบที่ห่างไกลจากปฏิสัมพันธ์ในโลกจริงและในชุมชนขนาดเล็กอย่างที่มนุษย์เคยอยู่กันมาตลอดช่วงวิวัฒนาการ … ราวกับคนกลุ่มนี้กลายเป็นคนรุ่นแรกที่เติบโตบนดาวอังคาร

บางคนอาจโต้แย้งว่า สาเหตุที่คนเจนซีประสบปัญหาสุขภาพจิต เป็นเพราะโลกเผชิญภัยคุกคามที่มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทว่ามนุษยชาติทุกรุ่นล้วนผ่านวิกฤตครั้งสำคัญมาทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้คนเจนซีแตกต่างคือ การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในวงกว้างของเทคโนโลยี โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดีย ที่มาพร้อมกับปุ่ม “ไลก์” “แชร์” และ “รีทวิต” 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2010 เมื่อสมาร์ตโฟนเพิ่มกล้องหน้า ทำให้การโพสต์ภาพถ่ายตัวเอง หรือเซลฟี (selfie) กลายเป็นกระแสที่ทุกคนคลั่งไคล้ ตามมาด้วยการที่เฟซบุ๊กเข้าซื้อกิจการอินสตาแกรมในปี 2012  สมาร์ตโฟนและบัญชีโซเชียลมีเดียกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็มีกัน วัยรุ่นจำนวนมากเผยแพร่ภาพถ่ายและวิดีโอเกี่ยวกับชีวิตพวกเขา แถมยังอนุญาตให้ใครๆ ก็เข้ามาวิจารณ์และตัดสินได้ด้วย  ช่วงเปลี่ยนผ่านเหล่านี้เกิดขึ้นในจังหวะที่เจนซีรุ่นแรกๆ กำลังเข้าสู่วัยเริ่มเจริญพันธุ์ (ประมาณ 12+ ขวบ) ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนเด็กรุ่นแรกที่ได้ทดลองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนรุ่นก่อนๆ ไม่รู้จัก ไม่ต่างอะไรจากหนุ่มสาววัยใส ผู้ถูกส่งไปบุกเบิกดาวอังคาร

3. การเติบโตที่ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการเด็ก

วัยเด็กพัฒนาขึ้นมาเพื่อการสำรวจและเล่นสนุกโดยใช้ร่างกาย เด็กเจริญงอกงามเมื่อพวกเขาได้หยั่งรากในชุมชนโลกจริง ไม่ใช่ในเครือข่ายโลกเสมือนที่จับต้องไม่ได้

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตสุขภาพจิตของเด็กๆ รุ่นใหม่นี้ คือสิ่งที่ไฮดต์เรียกว่า “การเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่ของวัยเด็ก” (Great Rewiring of Childhood) หรือก็คือการเปลี่ยนจาก “วัยเด็กที่ใช้เวลากับการเล่นเป็นหลัก” (play-based childhood) ไปสู่ “วัยเด็กที่ใช้เวลากับโทรศัพท์เป็นหลัก” (phone-based childhood)

สำหรับไฮดต์ “วัยเด็กที่ใช้เวลากับการเล่นเป็นหลัก” คือสิ่งที่ขาดไม่ได้มาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  เมื่อมองจากมุมพัฒนาการเด็กแล้ว มนุษย์จะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีแรก จากนั้นก็จะชะลอการเติบโตไปอีกหลายปีจนถึงอายุ 10 ขวบ หรือก็คือช่วงวัยแรกรุ่น (preteen) ซึ่งเด็กๆ ยุคก่อนใช้ช่วงเวลานี้สะสมความรู้และวิธีปรับตัวทางสังคมผ่านการเล่นอิสระ (free play) กับเพื่อนๆ ในโลกความเป็นจริง ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาโตเร็วอีกครั้งช่วงเข้าสู่วัยเริ่มเจริญพันธุ์

ทว่าการเลี้ยงดูอย่างหวาดกลัวที่กล่าวไปข้างต้น ประกอบกับการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟนที่พาเด็กๆ เข้าสู่โลกเสมือนได้ทุกเมื่อทุกเวลา ทำให้เด็กๆ มีโอกาสได้เล่นสนุกในโลกความจริงน้อยลงมาก และหันเหสู่โลกเสมือน

รายงานการใช้สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียของวัยรุ่น (13-19 ปี) ในปี 2015 พบว่า เด็กทุกหนึ่งในสี่คนบอกว่า พวกเขาออนไลน์ “เกือบตลอดเวลา” แม้กระทั่งตอนที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่ และจำนวนนี้ก็เพิ่มเป็น 46% ในปี 2022  นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาไม่ได้มีใจจดจ่ออย่างเต็มที่กับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นรอบตัว และสิ่งที่ต้องแลกมาคือชีวิตที่จำเป็นสำหรับพัฒนาการของมนุษย์ผู้มีสุขภาพกายและใจที่ดี

ไฮดต์ชี้ให้เห็นว่า สมาร์ตโฟนนำมาซึ่งอันตรายพื้นฐาน 4 อย่าง ได้แก่ การไม่ได้เข้าสังคม การอดนอน การเสียสมาธิ และการเสพติด

การไม่ได้เข้าสังคม – แม้ว่าเวลาวัยรุ่นใช้เวลาในโลกเสมือน พวกเขาอาจคิดว่าตนแค่ย้ายมิตรภาพจากชีวิตจริงไปอยู่ในโลกโซเชียลและวิดีโอเกมออนไลน์แทน แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ยังมีช่องโหว่ตรงที่ เนื่องจากทักษะการปฏิสัมพันธ์แบบสอดประสานที่คนเราต้องจับจังหวะการโต้ตอบนั้น อาจตกหล่นไปเยอะในระบบการสื่อสารแบบทิ้งข้อความไว้ให้คนมาพิมพ์ตอบทีหลัง ขณะเดียวกันสมาร์ตโฟนยังลดโอกาสที่เด็กๆ จะได้ใช้เวลาสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้คนรอบตัวในโลกความจริง ผลที่ได้ ก็คือ ความแปลกแยกโดดเดี่ยวอย่างล้ำลึกจากมิตรภาพอันตื้นเขิน ผสมกับการเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ หรือกระทั่งกับคน “ทั่วโลก” อย่างไม่หยุดหย่อน

การอดนอน – ทันทีที่เยาวชนทั่วโลกเปลี่ยนจากโทรศัพท์ธรรมดาไปใช้สมาร์ตโฟน การนอนของพวกเขาก็ลดลงทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และผลกระทบของการอดนอนก็กว้างไกลมาก ตั้งแต่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หงุดหงิด การรู้คิดบกพร่อง เรียนรู้ได้ไม่ดี เกรดตก เกิดอุบัติเหตุบ่อยขึ้น และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากขึ้น

การเสียสมาธิ –  สมาธิหมายถึง ความสามารถที่จะจดจ่ออยู่บนถนนแห่งจิตใจสายหนึ่ง ในขณะที่
มีทางเบี่ยงมากมายคอยเพรียกหาเรา การมุ่งมั่นอยู่บนถนนสายเดิมและทำภารกิจที่ต้องทำคือองค์ประกอบของความเป็นผู้ใหญ่ และเป็นสัญญาณว่าคนคนนั้นมีทักษะการบริหารจัดการ (EF) ที่ดี แต่การแจ้งเตือนนับร้อยๆ ครั้งต่อวันทำให้ผู้ใช้สมาร์ตโฟนแทบไม่มีเวลาต่อเนื่องสักห้าหรือสิบนาทีเพื่อใช้ความคิดโดยไม่โดนขัดจังหวะเลย ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการด้าน EF และอาจทำให้เป็นโรคสมาธิสั้นในเด็กได้มากขึ้นด้วย

การเสพติด – แอปพลิเคชั่นต่างๆ ในปัจจุบันออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ “ติดใจ” ผ่านการเสพติดเชิงพฤติกรรม เหมือนกับการเล่นสล็อตแมชีนที่กระตุ้นให้หลั่งสารโดพามีน และเมื่อไม่ได้ใช้ก็จะเกิดอาการคล้าย “ถอนยา” คือวิตกกังวล หงุดหงิด นอนไม่หลับ และอมทุกข์ ซึ่งล้วนส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสังคม

สมาร์ตโฟนเป็นเหมือนเข็มฉีดยาสมัยใหม่ มันนำส่งโดพามีนดิจิทัลให้กับคนรุ่นอินเทอร์เน็ตทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ เด็กหญิงกับเด็กชายยังได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงในยุคสมาร์ตโฟนแตกต่างกันไป โดยเด็กหญิงถูกโซเชียลมีเดียทำร้ายมากกว่าในแง่ที่ว่า พวกเธออ่อนไหวต่อการเปรียบเทียบทางสังคม แสวงหาความเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ทั้งยังแบ่งปันอารมณ์กันมากกว่าทั้งด้านสุขและทุกข์ จึงส่งต่อภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรืออาการป่วยทางจิตต่างๆ ได้มากกว่า อีกทั้งเด็กหญิงยังตกเป็นเหยื่อคุกคามทางโซเชียลมีเดียมากกว่าด้วย

ภาพวาดโดยอะเล็กซิส สเปนซ์ ในเดือนเมษายน 2015 ตอนเธออายุ 12 ปี ข้อความบนหน้าจอแล็ปท็อปคือ “โง่ น่าเกลียด อ้วน” นี่คือภาพที่คัดลอกมาจากข้อมูลส่งศาลในคดี Spence v. Meta

ขณะที่เด็กชายก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เมื่อโลกเสมือนชักนำเด็กชายเข้าสู่โลกแห่งวิดีโอเกมและสื่อลามกต่างๆ ทำให้พวกเขาออกห่างจากสังคมแทนที่จะทุ่มเทความพยายามเติบโตในโลกจริง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและความบกพร่องทางพัฒนาการในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเติบโต

ไฮดต์ให้ความเห็นว่า แม้สมาร์ตโฟนจะสร้างความสะดวกสบายหลายอย่างให้ผู้ใหญ่ (เช่นเดียวกับที่ทำร้ายพวกเขา) แต่มันอาจไม่ได้มีประโยชน์มากนัก หรือกระทั่งได้ไม่คุ้มเสีย สำหรับเด็กๆ ที่สมองยังไม่พัฒนาเต็มที่ ในความคิดของเขา “วัยเด็กที่ใช้เวลากับโทรศัพท์เป็นหลัก” จึงกำลังยื้อเยาวชนเอาไว้จากการพัฒนาตนไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะทางสังคม มีจิตใจเข้มแข็ง และหยัดยืนด้วยตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ

4. กลไกรัฐและสังคมที่ล้มเหลวในการยับยั้งธุรกิจไร้จริยธรรม

ในหนังสือ คนรุ่นใหม่ วัยวิตก ไฮดต์ได้เปิดเผยหลักฐานมากมายที่บ่งบอกว่า บริษัทโซเชียลมีเดียมองว่าผู้ใช้งานคือสินค้า และต่างก็แข่งขันกันเพื่อสูบเวลาและความสนใจจากผู้ใช้งาน  ในเมื่อรายได้ของบริษัทโซเชียลมีเดียมาจากการขายข้อมูลผู้ใช้งานให้กับบริษัทต่างๆ นำไปทำฐานข้อมูลผู้บริโภคและวางกลยุทธ์โฆษณา พวกเขาก็มีแรงจูงใจน้อยมากในการปกป้องผู้ใช้ โดยเฉพาะเยาวชน (ที่ยิ่งทำให้เสพติดผลิตภัณฑ์ใดได้เร็ว ก็ยิ่งเป็นฐานลูกค้าที่ต่อไปได้นานแสนนาน)

ขณะเดียวกัน กฎหมายที่ใช้บังคับผู้ประกอบการเหล่านี้ และปกป้องเยาวชนจากการฉวยใช้เทคโนโลยีก็ยังหละหลวมมาก ไฮดต์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า กฎหมายกำหนดอายุ “ผู้ใหญ่ทางอินเทอร์เน็ต” นั้นยังไม่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก เพราะในวัย 13 ปี ซึ่งเป็นอายุของ “ผู้ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต” ในสหรัฐฯ นั้น สมองของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ และยังไม่พร้อมรับมือกับอันตรายออนไลน์ นอกจากนี้ยังไม่มีกฎหมายใดที่บังคับให้บริษัทต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้จริงๆ ด้วย

ส่วนในประเทศไทยนั้น แม้จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 27 ที่ ห้ามโฆษณาหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศใดๆ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หรือเพื่อสร้างความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง และสิทธิประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีการนำข้อมูลของเด็กเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆ โดยผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็ก เช่น ในโพสต์และไลฟ์สด โดยไม่ได้ขออนุญาตเด็กก่อน หรือไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กให้ดีพอ นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กไทยตกเป็นผู้เสียหายในคดีที่เกิดบนโลกออนไลน์มากขึ้น 2-3 เท่า ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ทั้งเรื่องการล่อลวงทางเพศ หลอกลวงให้ซื้อสินค้า หลอกให้โอนแต้มในเกม เป็นต้น

ขณะที่รัฐล้มเหลวกับการกำหนดกฎหมายคุ้มครองเยาวชน โรงเรียนและผู้ปกครองเองก็ประสบ “ปัญหาด้านการมีส่วนร่วมในสังคม” (collective action problem) เช่นกัน  หรือก็คือ พวกเขาไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการควบคุมการใช้งานสมาร์ตโฟนอย่างเหมาะสม ทั้งยังพยายามปกป้องเด็กๆ ในโลกจริงมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาเมื่อเด็กๆ เห็นเพื่อนมีสมาร์ตโฟนแล้วต้องมีบ้าง หรือเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิพ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกได้มีอิสระ  นี่คือกับดักที่ทำให้วัยเด็กที่ใช้เวลากับโทรศัพท์เป็นหลักยังดำเนินต่อไป

แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?

แม้จะดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางวิชาการทั้งทางผลกระทบจากสื่อต่อเยาวชน  ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก และพัฒนาการทางสังคม อารมณ์ และความคิดแล้ว ไฮดต์ได้เสนอแนวทางปฏิรูปพื้นฐาน 4 ข้อ  ได้แก่

1. ห้ามเด็กใช้สมาร์ตโฟนก่อนเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

2. ห้ามเด็กเปิดบัญชีโซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 ปี

3. ทุกโรงเรียนมีนโยบายปลอดโทรศัพท์เพื่อคืนเวลาให้เด็กได้กลับไปใช้เวลากับกิจกรรมนอกจอ

4. สังคมต้องส่งเสริมการเล่นอิสระ และให้อิสรภาพแก่เด็กมากขึ้นในการสำรวจพื้นที่สาธารณะ โดยต้องออกแบบ จัดสรร และดูแลพื้นที่เหล่านี้ให้ปลอดภัย และสร้างการมีส่วนร่วมให้เด็กๆ ด้วย

วิธี [เลี้ยงเด็ก] ที่ดีกว่า คือมองการเลี้ยงเด็กผ่านสายตาของคนสวน งานของคุณคือ “สร้างพื้นที่ปลอดภัยและอุดมสมบูรณ์เพื่อให้พืชได้เติบโต”

นอกจากนี้ ยังมีวิธีแก้ปัญหาอีกหลายอย่างที่หนังสือได้เสนอให้รัฐบาล บริษัทเทคโนโลยี โรงเรียน และผู้ปกครอง ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น

  • การออกข้อกำหนดและพัฒนาเทคโนโลยียืนยันอายุที่ง่าย เร็ว แม่นยำ และปลอดภัยจากการแฮ็กข้อมูลกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้งาน
  • การสร้างมาตรการออกแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับอายุ (Age Appropriate Design Code – AADC) เพื่อเป็นแนวทางให้บริษัทเทคโนโลยีใช้ และบีบให้พวกเขาต้องแสดงความรับผิดชอบด้านศีลธรรมต่อผู้เยาว์
  • ผู้ปกครองชะลอการให้ลูกใช้สมาร์ตโฟนไปถึงช่วงอายุ 16 ปี โดยก่อนหน้านั้นให้ใช้โทรศัพท์ธรรมดาที่มีแอปพลิเคชั่นจำกัด และใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านแทน
  • ผู้ปกครองพูดคุยกับลูกวัยรุ่นให้มากขึ้น เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความเสี่ยงต่างๆ รับฟังความคิดเห็นของพวกเขา
  • ผู้ปกครองสนับสนุนให้เด็กๆ ได้มีกิจกรรมนอกจอที่มอบอิสรภาพให้เด็กมากขึ้น
  • โรงเรียนต่างๆ ร่วมมือกันมุ่งสู่นโยบาย “โรงเรียนปลอดโทรศัพท์” โดยกำหนดให้เก็บอุปกรณ์หน้าจอไว้ในล็อกเกอร์ตลอดช่วงเรียน เพื่อป้องการการเสียสมาธิ

ท้ายที่สุดแล้ว หนังสือเล่มนี้คงไม่ได้มีไว้สำหรับคนเจนซี หรือผู้ปกครอง ครู และคนที่ห่วงใยเด็กและเยาวชนเท่านั้น เพราะมันได้เปิดเปลือยถึงการเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนครั้งใหญ่ รวมถึงการควบคุมแทรกแซงโดยบริษัทเทคโนโลยี ภายใต้กลไกทุนนิยมสุดโต่งที่กฎหมายและสังคมส่วนใหญ่ยังตามไม่ทัน เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมที่เทคโนโลยีกำลังก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง …

และอย่างที่ ไฮดต์ ได้บอกไว้ในบทแรกของหนังสือเล่มนี้  —

“เพื่อทวงคืนชีวิตมนุษย์ให้แก่พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใดก็ตาม”

คนรุ่นใหม่ วัยวิตก

450฿ 405฿

หนังสือขายดีที่เป็นปรากฏการณ์แห่งยุคสมัย สำรวจวิกฤตสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ ทวงคืนวัยเด็กจากหน้าจอสู่โลกจริง

 

ส่งฟรีทั้งเว็บ 12 ธ.ค. – 26 ธ.ค. *โปรดรอลิงค์สำหรับติดตามพัสดุผ่านทางอีเมลในระหว่างช่วงโปรโมชั่น*