Brief – อ่าน ‘ภูมิรัฐศาสตร์โลก’ จากอดีตสู่อนาคต ผ่าน ‘แผนที่’ ชี้ชะตาโลก

ชลิดา หนูหล้า เรื่อง

‘ภูมิรัฐศาสตร์’ หรือการศึกษาอิทธิพลของลักษณะทางภูมิศาสตร์ต่อการดำเนินนโยบายระดับประเทศ ได้รับความสนใจมากขึ้นทุกขณะทั้งในวงวิชาการ การเมือง และการต่างประเทศ ทั้งในแง่เครื่องกำหนดโฉมหน้าของความขัดแย้ง หนทางสู่ความร่วมมือระหว่างชาติต่างๆ และคำทำนายความรุ่งเรืองหรืออับจนทางเศรษฐกิจของรัฐหนึ่งๆ

สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป ชวนนักอ่านและผู้สนใจ ร่วมสำรวจรากเหง้าที่หยั่งลึกกว่าวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ของความสัมพันธ์ฉันมิตร การหยั่งเชิง และข้อพิพาทระหว่างนานาประเทศ เพื่อทำความเข้าใจระเบียบโลกปัจจุบันผ่านพันธนาการแห่งภูมิศาสตร์ที่หลายคนหลงลืมไป พร้อมมุ่งหน้าสู่อนาคตด้วยสายตาใหม่ ที่เข้าใจ ‘โลก’ ใบเดิมมากกว่าที่เคย ในงานเสวนาสาธารณะ อ่าน ‘ภูมิรัฐศาสตร์โลก’ จากอดีตสู่อนาคต ผ่าน ‘แผนที่’ ชี้ชะตาโลก สะท้อนบทเรียนจากหนังสือ Prisoners of Geography: อ่านภูมิรัฐศาสตร์โลกจากอดีตสู่อนาคตผ่าน 10 แผนที่ โดย ทิม มาร์แชลล์  (Tim Marshall) บรรณาธิการข่าวและผู้สื่อข่าว ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวกว่า 12 สงคราม ตลอดระยะเวลา 30 ปี ในแวดวงข่าวต่างประเทศ

ร่วมสนทนาโดย ศุภมิตร ปิติพัฒน์ จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุณา บัวคำศรี นักข่าวและเจ้าของช่อง รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี, ธีวินท์ สุพุทธิกุล จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ นักประวัติศาสตร์-อารยธรรมโบราณ ภัณฑารักษ์ รวมถึงนักเขียนและผู้แปลหนังสือ Prisoners of Geography ดำเนินรายการโดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ดำเนินรายการ เช้าทันโลก FM 96.5

สำรวจ พันธนาการแห่งภูมิศาสตร์

คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ ผู้แปล เล่าว่าความสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยาในวัยเด็กเป็นต้นกำเนิดความหลงใหลต่อแผนที่ของเขา รวมถึงความสนใจต่อหนังสือเล่มนี้ และโลกภูมิรัฐศาสตร์

“เมื่อทำงานเป็นนักประวัติศาสตร์ แผนที่ยิ่งมีความสำคัญ ผมมองว่าปัจจัยที่มีน้ำหนักทางประวัติศาสตร์คือภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจัยทางนิเวศวิทยา การค้า และวัฒนธรรม โดยอาจโน้มเอียงไปทางแนวคิดที่ว่าลักษณะทางภูมิศาสตร์กำหนดความเป็นไปในกิจการต่างๆ ของมนุษย์ (geographical determinism)”

เขาเห็นด้วยกับทิม มาร์แชลล์ ผู้เขียน Prisoners of Geography ที่ระบุว่าลักษณะทางภูมิศาสตร์มีน้ำหนักน้อยเกินไปในคำอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ

“คนเราชอบอะไรที่มีพลวัต ปัจจัยที่ไม่มีมีพลวัตเลยให้ความรู้สึกเหมือนพื้นที่เหยียบอยู่ ไม่ว่าจะเล่นละครเรื่องไหน พื้นก็อยู่ตรงนี้ จึงไม่มีอะไรให้เล่าถึงมากมาย มนุษย์หลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายิ่งชอบมองว่าตัวเองเป็นตัวละครหลักของเรื่องเล่าต่างๆ ซึ่งผมไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่เห็นว่าภูมิศาสตร์ถูกกล่าวถึงน้อยเกินไปมาก”

เขายังยกตัวอย่างอิทธิพลของลักษณะทางภูมิศาสตร์ต่อการดำเนินนโยบายระดับประเทศ โดยกล่าวถึงประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ที่ขาดความลึกเชิงยุทธศาสตร์ (strategic depth) จึงไม่อาจ ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ และต้องผลักสมรภูมิออกไปนอกประเทศเพื่อป้องกันความเสียหายต่อเขตเศรษฐกิจต่างๆ สิงคโปร์จึงลงทุนในเรือดำน้ำและฝูงบินที่มีประสิทธิภาพ มีลานบินทางทหารอย่างน้อยสี่ลานบิน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่แปลงเป็นลานบินยามจำเป็นได้มากมาย 

ขณะที่ กรุณา บัวคำศรี จากรายการ รอบโลก Daily เล่าว่าประสบการณ์การรายงานข่าวนั่นเองที่ทำให้เธอหันมาสนใจภูมิรัฐศาสตร์

“ความสนใจเริ่มขึ้นช่วงที่ไปตะวันออกกลาง แล้วไอซิสกำลังจะเข้าเมืองโมซูล คนหนีออกมาจากเมืองเยอะมาก และส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมชีอะฮ์ ก็เลยเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อหาคำตอบว่าทำไมคนที่หนีออกมาบอกว่าคนในเมืองยอมให้ไอซิสเข้าไป ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจมาก จนมาอ่านหนังสือเล่มนี้ในปี 2020 ช่วงที่เริ่มมีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพราะอยากรู้ว่ามีเหตุผลอื่นของสงครามนอกจากความต้องการสร้างจักรวรรดิของปูตินไหม พออ่านก็ ‘ใช่ว่ะ’ เหมือนปะติดปะต่อเหตุผลได้ ว่าการตัดสินใจของพวกผู้ปกครองถูกกำหนดด้วยภูมิประเทศ กรณีรัสเซียชัดเจนมาก ยูเครนแบนราบ ทิศตะวันตกของรัสเซียยาวไปถึงเคียฟไม่มีภูเขาเลย เข้าใจเลยว่าทำไมปูตินกลัวว่าถ้ายูเครนเป็นของนาโตแล้ว รัสเซียจะไม่รอด” 

สายตาใหม่นี้ยังทำให้เธอแสดงความกังวลว่าความรุนแรงในกาซาจะดำเนินต่อไป เพราะอิสราเอลเป็นอีกรัฐหนึ่งที่ขาด ‘ความลึกเชิงยุทธศาสตร์’ และย่อมไม่ยินยอมให้ปาเลสไตน์ได้ครองเขตเวสต์แบงก์ หรือให้ซีเรียมีอำนาจเหนือที่ราบสูงโกลัน ซึ่งล้วนมีชัยภูมิเหมาะแก่การติดตั้งอาวุธ และเสี่ยงจะสร้างความเสียหายต่อเทลอาวีฟที่อยู่ห่างจากพื้นที่เหล่านี้เพียงไม่กี่กิโลเมตร

แผนที่แสดงที่ตั้งของเทลอาวีฟ เขตเวสต์แบงก์ และที่ราบสูงโกลัน จากหนังสือ Prisoners of Geography หน้า 206

อย่างไรก็ตาม ธีวินท์ สุพุทธิกุล จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่าภูมิรัฐศาสตร์ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ นับแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา สอดคล้องกับการขับเคี่ยวที่เข้มข้นขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน 

“วงวิชาการไม่ได้ทอดทิ้งเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เวลาเรากล่าวถึงการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ เราจะสังเกตศักยภาพและอำนาจของแต่ละฝ่าย แล้วศักยภาพและอำนาจอะไรหรือที่เรามองว่าเป็นพลังในการแข่งขัน นอกจากเทคโนโลยี ประชากร ความสามารถทางเศรษฐกิจแล้วก็คือพื้นที่ ตรงไหนเป็นจุดอ่อน ตรงไหนเป็นจุดแข็ง รวมถึงทรัพยากรทั้งในผืนดินและน่านน้ำ รวมถึงความสามารถในการควบคุมพื้นที่นั้นๆ เพราะถ้าเราจะใช้ทรัพยากรหนึ่งๆ เราต้องอ้างได้ก่อนว่ามันเป็นของเรา และจะอ้างได้ก็ต้องอาศัยอำนาจทางทหาร”

ธีวินท์เสนออีกด้วยว่าคำว่า ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ในปัจจุบันมีนัยครอบคลุมมากกว่าเพียงผลกระทบทางภูมิศาสตร์ต่อการเมือง แต่แฝงความรู้สึกของ ‘เกมที่ประนีประนอมไม่ได้’ (zero-sum game) มากขึ้น กล่าวคือแต่ละรัฐมุ่งเป็นผู้เดียวที่ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากพื้นที่หนึ่งๆ โดยขาดท่าทีของการรอมชอมให้นานาชาติใช้ประโยชน์จากพื้นที่ร่วมกัน 

แผนที่ในฐานะเครื่องสะท้อนการเมืองแห่งยุคสมัย

ศุภมิตร ปิติพัฒน์ จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอมุมมองน่าสนใจเกี่ยวกับการอ่าน Prisoners of Geography ไว้ดังนี้

“หนังสือที่ไม่ใช่นวนิยายอาจแบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ คือเสนอความคิด และเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์ หนังสือของมาร์แชลล์เป็นประเภทหลัง หนังสือแบบแรกจะตั้งต้นที่ความคิด นำไปสู่ความเข้าใจและการเห็น เวลาดูอะไรต่างๆ ก็นึกหวนไปหาชุดความคิดนั้น แต่หนังสือที่เน้นข้อมูลเชิงประจักษ์จะพาไปเห็น ไปเข้าใจ แล้วเกิดชุดความคิดจากความเข้าใจนั้น ถ้าจะอ่านให้สนุก จึงต้องตระหนักด้วยว่าคำว่า ‘geography’ ในที่นี้ ส่วนสำคัญไม่ใช่ ‘geo’ (ผืนดิน) แต่เป็น ‘-graphy’ (การเขียน) ว่าอีกฝ่ายเขียนอะไรให้เราอ่าน เอาแผนที่อะไรให้เราดู ดูแล้วสร้างความเข้าใจใดขึ้นมา จากสายตาของใคร และสายตานั้นจ้องไปที่ไหน”

หนึ่งในวิธีสังเกตที่ดีคือสังเกตว่า ‘ขอบเขต’ ในการเล่าเรื่องราวจากแต่ละพื้นที่ของมาร์แชลล์อยู่ที่ใด เช่น กรณีจีนนั้น มาร์แชลล์เล่าโดยเท้าความกลับไปถึง 5,000 ปี แต่เมื่อถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับเม็กซิโก กลับเป็นข้อมูลจากช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ขอบเขตนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าข้อสรุปของมาร์แชลล์ ซึ่งในกรณีเม็กซิโก การถ่ายทอดเรื่องราวในขอบเขตเท่านี้มอบน้ำหนักให้ข้อสรุปที่ว่าในบรรดามหาอำนาจทั้งปวง สหรัฐอเมริกามีจุดอ่อนทางภูมิศาสตร์น้อยกว่าใคร มีเพียงปัญหายาเสพติดจากเม็กซิโกเท่านั้นที่ประเทศซึ่ง ‘พระเจ้ารักที่สุด’ นี้แก้ไม่ตก 

การเปิดประเด็นดังกล่าวของศุภมิตรนำไปสู่คำถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มี ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ ท่ามกลางหลากหลายภูมิภาคในหนังสือ โดยผู้ร่วมสนทนาต่างมีความเห็นแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการที่มาร์แชลล์ไม่เคยเดินทางมารายงานข่าวแถบนี้ จึงไม่มีข้อมูลเพียงพอ หรือเพราะการกล่าวถึงการขยายอิทธิพลของจีนในหนังสือทำให้เห็นบทบาทของอุษาคเนย์ ทั้งการตั้งรับและต่อต้าน ซึ่งจะส่งผลต่อประชาคมโลกต่อไปอยู่แล้ว 

สำหรับธีวินท์ นอกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาเห็นว่าดินแดนที่หนังสือกล่าวถึงน้อยเกินไปคือญี่ปุ่น ซึ่งตระหนักถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์อันจำเพาะของตนในระดับ “หมกมุ่น” และใช้ความตระหนักนั้นผลักดันการกำหนดนโยบายระดับประเทศเรื่อยมา

“ผมคิดว่าญี่ปุ่นหมกมุ่นกับตัวเองมากเลย ในฐานะดินแดนชายขอบแห่งเอเชียที่มีทรัพยากรน้อย ต้องคิดหายุทธศาสตร์เพื่อหล่อเลี้ยงประชากรไม่ให้อดตาย ให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ให้มีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำไมญี่ปุ่นจึงเข้าร่วมสงครามในศตวรรษที่ 20 ก็อธิบายได้ด้วยลักษณะด้อยทางภูมิศาสตร์นี้เช่นกัน”

กระนั้น ธีวินท์ไม่เห็นว่าภูมิประเทศเป็นปัจจัยชี้ขาดการดำเนินนโยบายเสียทีเดียว เพราะแม้จะมีลักษณะด้อยเช่นเดิม แต่ญี่ปุ่นเปลี่ยนท่าทีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเดิมของตน จากความแข็งกร้าวในอดีตสู่สันติวิธีในปัจจุบันได้สำเร็จ

“มาร์แชลล์บอกว่ารัสเซียต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้แน่ แต่จริงๆ แล้วจำเป็นต้องทำให้ดินแดนของตนสงบด้วยการขยายดินแดนออกไปไหมก็ไม่รู้ คล้ายๆ ญี่ปุ่นสมัยก่อน ที่ต้องยึดคาบสมุทรเกาหลี เพราะเกาหลีเป็นเหมือนสปริงบอร์ดให้ศัตรูกระโจนมาหาญี่ปุ่น พอได้เกาหลีก็ต้องการแมนจูเรีย จากนั้นก็จะเอาจีนอีก ทั้งที่จริงๆ ตัวเองอาจต้องการเพียงพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ เพื่อปกป้องชายแดนเท่านั้น”

ศุภมิตรส่งท้ายการอภิปรายประเด็นนี้ด้วย “การเมืองเรื่องแผนที่” คือ “สมัยที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจ อังกฤษเป็นศูนย์กลางโลกในแผนที่ เมื่อเลื่อนสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง เอเชียก็จะถูกตัดแบ่งและกลายเป็นชายขอบไป ขณะที่ระหว่างที่อังกฤษเป็นศูนย์กลางนั้น นิวซีแลนด์จะหายไปครึ่งหนึ่ง และถ้านิวซีแลนด์เป็นศูนย์กลาง ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็จะกลายเป็นจุดสังเกตใหญ่ในสายตาขึ้นมา ดังนั้นแผนที่เองไม่อาจนำเสนอความจริงได้ครบถ้วนไม่ว่าลักษณะใด และความไม่พอใจต่อความไม่ครบถ้วนนี้จะเป็นสนามฝึกให้เราก้าวเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับความจำกัดขององค์ความรู้ เพื่อหาว่าเราจะได้อะไรจากข้อจำกัดและช่องว่างเหล่านี้บ้าง”

เมื่อกรงกรอบภูมิศาสตร์ถูกเขย่า

แต่แม้โซ่ตรวนแห่งภูมิศาสตร์จะหนักแน่นปานใดก็ไม่อาจเอาชนะความเปลี่ยนแปลงตามกาลได้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกเดือดที่ทำให้รูปโฉมภูมิประเทศผันแปร หรือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทยอยทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ โค้งที่สามของการสนทนานี้จึงอุทิศให้พลวัตแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับขุนเขาและผืนน้ำที่แวดล้อม

“รัสเซียไม่เพียงผนวกไครเมียด้วยเหตุผลทางทหาร แต่เพราะต้องการท่าเรือน้ำอุ่นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปเพราะน้ำแข็งในอาร์กติกเริ่มละลาย” กรุณาเปิดประเด็นด้วย ‘โจทย์’ของรัสเซียที่ผันแปร

“การที่รัสเซียยังพยายามขยายเขตแดนฝั่งยูเครนจึงมีเหตุผลทั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเศรษฐกิจปนเปนกัน ปูตินเองก็หมกมุ่นกับความยิ่งใหญ่ในอดีต ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่มีเขา สงครามจะเกิดขึ้นไหม อย่างจีนเอง ช่วงที่หูจิ่นเทาปกครองก็ไม่ได้เป็นแบบนี้”

ในทางกลับกัน ความเปลี่ยนแปลงเดียวกันนี้ในอาร์กติกอาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจยิ่งคุกรุ่น เมื่อชาติต่างๆ ในภูมิภาคก้าวเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งจากเส้นทางเดินเรือใหม่และทรัพยากรธรรมชาติ

เธอเห็นว่าหากผู้นำรัสเซียยังเป็นวลาดีมีร์ ปูติน หรือผู้มีชุดความคิดเดียวกัน สงครามรัสเซีย-ยูเครนมีโอกาสยุติลงหรือสงบศึกชั่วคราว ด้วยการยินยอมสูญเสียลูฮันสค์ โดเนตสค์ แคร์ซอน และซาปอริซเซียของยูเครน รวมถึงการรับประกันว่ารัสเซียจะไม่สูญเสียไครเมียไปเท่านั้น 

แผนที่แสดงที่ตั้งพื้นที่ขัดแย้งสำคัญระหว่างรัสเซียกับยูเครน จากหนังสือ Prisoners of Geography หน้า 53 บริเวณในวงกลมสีแดงคือเมืองซาปอริซเซีย และบริเวณในวงกลมสีน้ำเงินคือสะพานเคิร์ช

“รัสเซียจะอยากได้ดินแดนแถบนี้เพื่อเป็นสะพานเชื่อมกับไครเมีย เพราะถ้าจะพึ่งแต่สะพานเคิร์ชให้ทอดไปหาท่าเรือน้ำอุ่นของตัวเองในเซวัสโตโปลก็เสี่ยงเกินไป แต่ก่อนนี้รัสเซียก็ไม่เคยแน่ใจเลยว่ายูเครนจะให้เช่าท่าเรือเซวัสโตโปลต่อไป”

แต่แม้ยูเครนจะดูเหมือนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การสูญเสียดินแดนก็อาจไม่ใช่ความปราชัยตลอดกาล กรุณาอธิบายว่าในดินแดนยูเครนนั้น แม้เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตก็มีกองกำลังต่อต้านรัสเซียอยู่เดิม ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าจะไม่เกิดการลุกฮือของประชาชนในดินแดนที่รัสเซียได้ไป 

คุณากรร่วมอภิปรายประเด็นเดียวกันนี้ด้วยการยกตัวอย่างการก้าวข้ามข้อจำกัดทางภูมิประเทศของมนุษย์ในอดีต

“ความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์พัฒนาบนพื้นฐานข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ และเมื่อปรับตัวได้ก็จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้ตัวเองต่อไป อย่างแต่ก่อนจะเดินเรือต้องอาศัยลม จึงต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ของลม แต่พอมีถ่านหิน เรือกลไฟ กฎเกณฑ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลง แต่ก่อนต้องไปยึดดินแดนตั้งสถานีการค้าที่รอยต่อของระบบลมในโลก ก็กลายเป็นการสร้างสถานีการค้าหรือท่าเรือสำหรับเติมถ่านหินเป็นระยะที่ถี่พอ”

รัสเซียที่ต้องแสวงหาท่าเรือน้ำอุ่นร่ำไปก็ไม่ได้ ‘เทหมดหน้าตัก’ ด้วยการหมายมั่นปั้นมือจะจับไครเมียให้อยู่หมัดเท่านั้น

“จะเห็นว่าไครเมียมีชายฝั่งเว้าแหว่งเป็นหิน เหมาะเป็นที่หลบลมจอดเรือ และติดตั้งระบบป้องกันเพื่อควบคุมทางเข้า-ออกได้ จะตั้งฐานทัพเรือก็ต้องหาที่แบบนี้ทั้งนั้น แต่รัสเซียไม่ได้เล่นไพ่หน้าเดียว พอฟื้นตัวจากสงครามเย็นก็เริ่มสร้างท่าเรือเบอร์สองทางตะวันออกของทะเลดำด้วย คือโนโวรอสซีสค์ ทางใต้ของรอสตอฟออนดอน ถ้ากองเรือทะเลดำที่เซวัสโตโปลถูกถล่ม ก็ย้ายเรือไปจอดอีกฝั่งได้”  

ธีวินท์เห็นเช่นเดียวกันว่าการจัดการอุปสรรคทางภูมิศาสตร์นั้นมีพลวัตเรื่อยมา กระทั่งสหรัฐอเมริกาที่มีปราการธรรมชาติเป็นมหาสมุทรใหญ่ขนาบสองฝั่ง และเคยประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวตนเองจาก ‘โลกเก่า’ หรือยุโรป ก็มีอันต้องเบนเข็มเมื่อญี่ปุ่นโจมตีท่าเรือเพิร์ลในสงครามโลกครั้งที่สอง 

“[สหรัฐอเมริกา] ไม่คิดด้วยซ้ำว่าญี่ปุ่นทำได้ กำลังคิดว่าจะช่วยยุโรปอย่างไรอยู่เลย คิดว่าศัตรูคือพรรคนาซี แม้จะเข้าไปร่วมไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีน แต่ไม่คิดว่าญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีก้าวข้ามระยะทางนั้นมาได้ ต่อจากนั้นก็คิดว่าตัวเองปลอดภัยไม่ได้แล้ว กลายเป็นชาติที่มีฐานทัพทั่วโลก ทุกวันนี้ยิ่งกังวลเมื่อเห็นเกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นักยุทธศาสตร์คาดคะเนว่าขีปนาวุธข้ามทวีปของเกาหลีเหนือน่าจะมีระยะการยิงไกลถึงอเมริกาแล้ว ไหนจะได้ความช่วยเหลือจากรัสเซียมาหลังจากช่วยเหลือรัสเซียในยูเครนอีก”

“ดังนั้นหากเกิดสงครามใหญ่ โลกกลายเป็นจุณได้แน่นอน” ธีวินท์สำทับ “เป็นอีกหนึ่งพลวัตที่มองข้ามไม่ได้ ยุทธศาสตร์ของชาติมหาอำนาจเดี๋ยวนี้ไม่คาอยู่ที่พรมแดนของตัวเองแล้ว อย่างอเมริกาและจีนนี่เห็นได้ชัดว่ากำลังกวาดตามองน่านน้ำต่างๆ อเมริกามีเรือบรรทุกเครื่องบินที่พร้อมนำศักยภาพทางอากาศของตัวเองไปประจำการทั่วโลก แถมเรือพวกนี้อยู่ในทะเลได้เป็น 10 ปีด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ขณะที่จีนเองก็ไล่กวด และคงไม่หยุดอยู่ที่ช่องแคบไต้หวันหรือทะเลจีนใต้ แต่ทะเยอทะยานจะป้องกันผลประโยชน์ของตนทั่วโลก ดูสิว่ามีชาวจีนออกไปอยู่ที่ไหนบ้างแล้ว วันหนึ่งต้องมีกำลังทหารไปปกป้องพวกเขาไหม เหมือนที่รัสเซียนำชาวรัสเซียไปอยู่ตรงโน้นตรงนี้ แล้วใช้เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังปกป้อง ภูมิรัฐศาสตร์เดี๋ยวนี้มองเป็นหย่อมๆ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องมองโลกทั้งใบ”

อนาคตของภูมิรัฐศาสตร์โลก

แน่นอนว่าเมื่อมองออกไปในอนาคตของโลก ย่อมไม่อาจมองข้ามการเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้ได้ 

กรุณาเล่าว่าหลายเดือนก่อนขณะพูดคุยกัน ทูตชาวจีนบอกเธอว่าเขาไม่สบายใจนักหากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เพราะทรัมป์ย่อมต้องดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนเพื่อเอาใจฐานเสียงของตน กระนั้นก็ใช่ว่ารัฐบาลของโจ ไบเดน จะมีท่าทีเป็นมิตรต่อจีนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะสหรัฐอเมริกาเพิ่งขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้ากว่าร้อยละ 50-70 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

“ไม่ว่าพรรคไหนจะชนะ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากมาย อย่างประเด็นการรักษาอิทธิพลทางทหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พรรคเดโมแครตจะชูธงการพิทักษ์ชุมชนนานาชาติ ส่วนทรัมป์แม้จะบอกว่าอเมริกาต้องมาก่อน แต่ก็เคยพูดด้วยว่าอเมริกาต้องช่วยเหลือไต้หวันและญี่ปุ่นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง”  

สำหรับสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น ทรัมป์ยังไม่มีทีท่าจะให้ความช่วยเหลือชัดเจน ชาติต่างๆ ในยุโรปจึงเริ่มเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเป็นร้อยละ 2 ของจีดีพี ขณะที่การถอนตัวจากตะวันออกกลางทำได้ยากเช่นกัน แม้จะมีความพยายามถอนตัวนับแต่ครั้งรัฐบาลบารัก โอบามา และแม้สหรัฐอเมริกาจะผลิตน้ำมันได้เองในปัจจุบัน แต่ด้วยสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่ปะทุขึ้นแล้ว สหรัฐฯ จึงต้องจับตาดูเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่เหลืออยู่ของตนต่อไป 

ขณะที่ศุภมิตรพุ่งเป้าไปที่อาร์กติก ซึ่งเป็นภูมิภาคสุดท้ายที่มาร์แชลล์กล่าวถึงในหนังสือ และจะเป็นสมรภูมิแย่งชิงผลประโยชน์อันดุเดือดหลังน้ำแข็งละลาย ซึ่งมาร์แชลล์ระบุเช่นกันว่าอาจไม่เกินสิ้นศตวรรษนี้

มาร์แชลล์เปิดฉากเนื้อหาในบทดังกล่าวด้วยถ้อยคำของนักสำรวจนามวิลห์ยันเมอร์ สเตฟานส์สัน (Vilhjalmur Stefansson) ความว่า “มีปัญหาอยู่สองประเภทในอาร์กติก คือปัญหาที่จินตนาการขึ้นเองกับปัญหาจริง ในสองอย่างนี้ ปัญหาที่จินตนาการขึ้นเองเป็นจริงที่สุด” 

ศุภมิตรเห็นว่าถ้อยคำนี้เป็น ‘รหัส’ ที่สะท้อนภาพรวมของบทนั้นๆ เมื่อมาร์แชลล์ใช้อาร์กติกเป็นภาพแทนสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์แห่งอนาคต เขาจึงทดลองแทนคำว่า ‘อาร์กติก’ ด้วย‘โลก’

“หน้าที่ของเราคือหาว่าอะไรคือจินตนาการทางภูมิศาสตร์ที่รัฐทั้งหลายใช้ดำเนินนโยบายสำคัญ ลองกลับไปอ่านบทแรก ‘รัสเซีย’ มาร์แชลล์เปิดฉากบทนี้ด้วยคำว่า ‘ไพศาล’ โจทย์ของผู้ที่รับผิดชอบรัสเซียอันไพศาลคืออะไรเล่า คือโจทย์ของการรุกราน ขยายดินแดน หรือรักษาสิ่งที่มีอยู่ แล้วความยากลำบากนี้สร้างผลประโยชน์แห่งชาติแบบใดขึ้นมา โจทย์นี้ของรัสเซียพัวพันกับอเมริกาในประเด็นยูเครนด้วย”

ในบท ‘ยุโรปตะวันตก’ นั้น มาร์แชลล์เปิดฉากด้วยคำกล่าวของมิแรนดา ริชมอนด์ มูโย (Miranda Richmond Mouillot) ความว่า “ที่นี่ อดีตปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ความทรงจำถูกหว่านไว้ทั่วทั้งทวีป”

“คำถามคือยุโรปจำสงครามไครเมีย จำองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัสเซียได้หรือไม่ และได้รับบทเรียนอะไรจากปฏิสัมพันธ์นั้นระหว่างตนกับรัสเซีย และจะฉลาดหรือไม่ที่เลือกท้าทายรัสเซียด้วยการขยายอิทธิพลของนาโตออกไป เพราะตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ไม่มีเหตุผลใดให้เราคงนาโตไว้เลย” ศุภมิตรตั้งคำถาม “อะไรทำให้เราคงมันไว้ คำตอบอยู่ในประโยคแรกของบท ‘สหรัฐอเมริกา’”

ประโยคนั้นคือ “รายงานเรื่องความตายของข้าพเจ้านั้นเกินความจริงไปมาก” ซึ่งเป็นประโยคของมาร์ก ทเวน (Mark Twain) เมื่อเห็นรายงานข่าวมรณกรรมของตนในหนังสือพิมพ์

“ฉันจะไม่ตายและไม่มีวันตาย ฉันจึงยังต้องมีอิทธิพลอยู่ และเป็นชาติที่ขาดเสียมิได้ (indispensable nation) สำหรับทุกคน โจทย์ของสหรัฐฯ คือการรักษาความไม่มีวันตายนี้ไว้ แล้วยุโรปได้รับบทเรียนใดจากการรักษาอเมริกาที่มีความตั้งใจนี้ไว้เล่า ไต้หวันเอง ญี่ปุ่นเองก็ต้องคิดด้วย เพราะประเทศหนึ่งได้เสนอตัวมารักษาความปลอดภัยให้ญี่ปุ่น และนำความไม่ปลอดภัยมาสู่เกาหลีเหนือ แต่หากเกาหลีเหนือไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นก็ไม่ปลอดภัย การล้อเล่นส่งอะไรข้ามทะเลมาของเกาหลีเหนือ ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ใครจะรับความเสียหายใหญ่นั้นเล่า”

อนาคตที่ศุภมิตรเห็น จึงเป็นอนาคตที่โลกอยู่บนทางสองแพร่งระหว่างการรักษาสหรัฐอเมริกาที่จะ ‘ไม่ตาย’ ไว้ และยินยอมจ่ายด้วยราคาสูงลิ่ว กับการถอนตัวจากภารกิจนี้เสีย 

“ถ้าเราอ่านรหัสเหล่านี้ด้วยความใส่ใจ เราจะเจอกุญแจที่พุ่งไปหาความไม่ต้องการถูกรายงานข่าวความตายของอเมริกา แต่ด้วยค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เล่า ทั้งของยุโรป และของญี่ปุ่นที่ต้องหล่อเลี้ยงสังคมผู้สูงวัย ออสเตรเลียด้วย อยู่ไกลโพ้นถึงครึ่งโลก จะเอาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ไปทำอะไร ไม่ใช่อเมริกาไม่มีคุณูปการอะไรนะ ไม่มีอเมริกาเราก็ไม่รอด จนผมอยากลองเชียร์โดนัลด์ ทรัมป์ ดู ให้เกิดการตั้งคำถามว่าอะไรคือคุณค่าที่สังคมอมริกันจะอยู่ร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นสังคมโลกจะไม่ตื่น อเมริกาก็จะไม่ตื่น เราจะติดอยู่ในโลกยุคหลังสงครามโลกที่กอบกู้ด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร แผนการมาร์แชลล์ และถนนมิตรภาพต่อไป” 

ทางสองแพร่งดังกล่าวจะตัดสินชะตาของอาร์กติกเช่นกัน “ถ้าอาร์กติกสำคัญต่อมนุษยชาติจริง และจำเป็นต้องมีพหุภาคีดูแล อาร์กติกก็ควรจะสำคัญกว่ายูเครน และเมื่อชาติที่มีดินแดนกว่าร้อยละ 45 ในภูมิภาคอาร์กติกคือรัสเซีย โลกก็ควรจะจัดการความสัมพันธ์กับรัสเซียในมิติอื่นๆ ให้ราบรื่นเพื่อบริหารจัดการอาร์กติกต่อไป”

แม้จะไม่สนับสนุนวลาดีมีร์ ปูติน แต่ศุภมิตรชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่าเป็นสงครามเพื่อป้องกันตนเอง (preventive war) ของรัสเซีย และก่อนจะรุกรานยูเครนนั้น รัสเซียได้ส่งสัญญาณถึงประชาคมโลกแล้วว่าตนจะไม่ยินยอมให้ ‘หน้าบ้าน’ นี้ได้ติดตั้งอาวุธของชาติยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา

“เมื่อไม่มีใครปฏิบัติตามประกาศนั้น และถ้ารัสเซียไม่ป้องปรามก็จะเสียความน่าเชื่อถือ รัสเซียจึงต้องบุกทะลวงเข้าไปเพื่อบอกว่าฉันเอาจริง อย่าพายูเครนไปเป็นส่วนหนึ่งของนาโต ในแง่นี้คนที่เปิดประเด็นได้ดีที่สุดคือรัฐมนตรีจากอินเดีย ว่า [สงครามรัสเซีย-ยูเครน] เป็นปัญหาของพวกเธอ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน ทำไมฉันต้องแบนน้ำมันจากรัสเซีย ไม่นำเข้ามาให้ประชากรยากจนของฉัน อินเดียคือตัวแทนของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) อันลำบาก และทำให้เราคิดได้ว่ามีทางเลือกอื่นอยู่นี่ ได้ยูเครนไปแล้วนาโตเข้มแข็งขึ้นหรือ ยูเครนไม่ได้เพิ่มเติมความมั่นคงให้นาโตเลย แต่การเข้าร่วมนาโตของยูเครนสร้างความไม่มั่นคงให้รัสเซีย แล้วจะเอายูเครนไปทำอะไร นี่คือคำถาม และคำตอบคือ ‘ฉันยังไม่ตาย และรายงานความตายของฉันนั้นเกินความจริงไปมาก’”

อย่างไรก็ตาม กรุณาได้เพิ่มเติมอีกแง่มุมของความขัดแย้งที่ยังไม่มีทีท่าจะยุตินี้ในวงสนทนา คือแม้นาโตจะมีส่วนทำให้สงครามปะทุขึ้น กระนั้น “ส่งอาวุธเข้าไปให้ก็จริง แต่ถ้าคนไม่สู้ก็จบ”

เธอเล่าว่าชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยในภูมิภาคดอนบัสทางตะวันออกของยูเครนที่เดิมต้องการเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนั้น ต่างหันหลังให้รัสเซียเมื่อสงครามเปิดฉาก 

“คนหนึ่งเป็นกวี เขียนบทกวีเป็นภาษารัสเซียมาตลอดชีวิต พอเกิดสงคราม เขาบอกเลยว่าไม่อยากเขียนด้วยภาษารัสเซียแล้ว ความผูกพันของเขาถูกตัดทอนด้วยสงคราม ดังนั้นหากมองในภาพรวม เราอาจเอนเอียงไปทางเหตุผลของรัสเซียได้ แต่ในมิติของผู้คนแล้ว เราต้องคิดว่าทำไมกันยูเครนที่หลายคนคิดว่าจะยอมแพ้ในเดือนแรกจึงยังยืนอยู่ได้ สงครามนี้มีมิติความรู้สึกนึกคิดที่เลื่อนไหลของชาวยูเครนอยู่ด้วย”

ธีวินท์เสริมว่าเขาเห็นว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเป็นปัญหาขบไม่แตก (dilemma) ต่อไป บนพื้นฐานที่ว่าใครมองว่าฝ่ายใดทำอะไรด้วยความชอบธรรมมากน้อยเพียงใด เพราะเมื่อกล่าวถึงบทเรียนที่ชาติยุโรปได้รับจากสงครามกับรัสเซียในศตวรรษก่อนๆ แล้ว นอกจากความไม่ต้องการสูญเสียดินแดนกันชนของรัสเซีย ก็มี ‘ความเข็ดหลาบ’ ของชาติเหล่านี้อยู่ด้วย  

“เวลาที่เราพูดคุยถึงความได้เปรียบของรัสเซีย หรือความลึกเชิงยุทธศาสตร์ของมัน ทุกคนได้บทเรียนจากมันแล้ว (หมายถึงนโปเลียน โบนาปาร์ต และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ต่างพยายามรุกรานรัสเซียในอดีต) แล้วทำไมรัสเซียยังต้องการพื้นที่กันชนอีก ก็คงจะพออ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเอง แต่ก็ยังถกเถียงได้ว่าแล้วมีความชอบธรรมแค่ไหน” ธีวินท์เสนอ

“ที่นาโตต้องการขยายอิทธิพลเข้ามาในยูเครน ส่วนหนึ่งอาจเพราะยูเครนเองอยู่บนทางแพร่งด้วยว่าจะทำอย่างไร ยูเครนคงไม่ได้จู่ๆ วันดีคืนดีอยากเข้าร่วมนาโตขึ้นมา ก็คงรู้สึกถึงภัยคุกคามจากรัสเซียอยู่ ทั้งจากการแทรกแซงทางการเมืองและการข่มขู่ ถ้าต่อกรไม่ได้ก็คงต้องแสวงหาพันธมิตร ดังนั้นคำถามนี้จึงยังไม่มีข้อสรุป” 

คลิกเพื่ออ่านบทความ เมื่อทิม มาร์แชลชวนตามหากฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ สะท้อนข้อสรุปของทิม มาร์แชลล์ จากหนังสือ Prisoners of Geography ผ่านไตรภูมิกถา โดย ศุภมิตร ปิติพัฒน์ 

อ่านตัวอย่างและสั่งซื้อหนังสือ Prisoners of Geography: อ่านภูมิรัฐศาสตร์โลกจากอดีตสู่อนาคตผ่าน 10 แผนที่ ได้ที่นี่