
กิตติพงศ์ สนธิสัมพันธ์ เขียน
“ผมเชื่อว่าถ้าเราต้องการทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์แบบลึกซึ้งถึงแก่น ราคาที่เราต้องจ่ายคือการนอนไม่หลับอย่างน้อยสามคืน”
นี่คือประโยคเปิดที่อีธาน มอลลิก (Ethan Mollick)รองศาสตราจารย์ด้านการบริหารธุรกิจที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวไว้ในบทนำของ ปัญญาคู่คิด (Co-Intelligence: Living and Working with AI) หนังสือขายดีเล่มล่าสุดของเขา
ในฐานะนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องนวัตกรรมและคลุกคลีอยู่ในแวดวงการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะการใช้งานเพื่อการเรียนรู้ การเปิดตัวของแชตจีพีที (ChatGPT) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ทำให้มอลลิกนอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่หลายคืน
ทำไมน่ะหรือ?
หลังจากทดลองใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์มาระยะหนึ่งเพื่อค้นหาวิธีนำมันมาใช้กับการทำงาน มอลลิกพบว่าจีพีทีเวอร์ชั่นใหม่แตกต่างจากจีพีทีเวอร์ชั่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด และเพียงสองวันหลังจากแนะนำให้นักศึกษาทดลองใช้ ความตื่นเต้นระคนความหวั่นวิตกก็เกาะกุมความรู้สึกของบรรดานักศึกษา
แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์รูปแบบใหม่ที่อยู่เบื้องหลังแชตจีพีที คือบางสิ่งบางอย่างที่ทั้งแปลกใหม่และแปลกประหลาด เมื่อได้สัมผัสกับมัน คุณจะรับรู้ได้ว่ามันกำลังจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป
โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และไม่มีใครบอกคุณได้ว่าโลกในอนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
นี่คือที่มาของความตื่นเต้นระคนความหวั่นวิตกซึ่งเกาะกุมความรู้สึกของนักศึกษาที่ได้ทดลองใช้จีพีที-4 (จีพีที-5 คือเวอร์ชั่นล่าสุด)
ทำความรู้จัก “ปัญญาประดิษฐ์” ในฐานะ “ปัญญาคู่คิด”
สำหรับอีธาน มอลลิกปัญญาประดิษฐ์คือเทคโนโลยีที่หนุนเสริมความฉลาดของมนุษย์ และ ณ ตอนนี้ มนุษย์ก็เข้าถึงเครื่องมือที่เลียนแบบวิธีที่เราคิดและเขียนได้เรียบร้อยแล้ว โดยทำหน้าที่เป็น “ปัญญาคู่คิด” (Co-Intelligence) ในการปรับปรุง (หรือแทนที่) การทำงานของเรา ขณะเดียวกัน บริษัทที่กำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ก็หวังที่จะสร้างเครื่องจักรที่มีความรู้สึกนึกคิด และเป็นปัญญาคู่คิดอย่างแท้จริง ซึ่งจะดำรงชีวิตร่วมกับเราบนโลก
เนื้อหาส่วนแรกของ ปัญญาคู่คิด เริ่มต้นด้วยการอธิบายต้นกำเนิดของ “สิ่งทรงภูมิแปลกหน้า” ซึ่งเป็นปลายทางของสายธารวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เริ่มต้นในปี 1770 เมื่อคอมพิวเตอร์จักรกลสำหรับเล่นหมากรุกเครื่องแรกถือกำเนิด
ตามมาด้วย “การปรับแต่ง” ปัญญาประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายของมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากมนุษย์มีค่านิยมและเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนหรือขัดแย้งกันเอง ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าปัญญาประดิษฐ์จะรักษาค่านิยมและเป้าหมายดั้งเดิมของมันไว้ ในระหว่างที่มันมีวิวัฒนาการและเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะยังคงมีข้อถกเถียงระหว่างฝ่ายที่มองว่าปัญญาประดิษฐ์จะนำมาซึ่งวันสิ้นโลก กับฝ่ายที่มองว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่มอลลิกเห็นว่าในเมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกร่วมกับปัญญาประดิษฐ์เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือต้องทำความเข้าใจว่าจะทำงานร่วมกับพวกมันอย่างไร และต้องกำหนดกฎเกณฑ์พื้นฐานสำหรับการอยู่ร่วมกับพวกมัน โดยมอลลิกได้นำเสนอสี่หลักการสำหรับการทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ ดังนี้
หลักการที่ 1 ชวนปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีส่วนร่วมเสมอ
หลักการที่ 2 จงเป็นมนุษย์ที่อยู่ในกระบวนการ
หลักการที่ 3 ปฏิบัติต่อปัญญาประดิษฐ์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง (แต่เราต้องระบุให้ชัดว่ามันเป็นคนแบบไหน)
หลักการที่ 4 คิดเสียว่านี่คือปัญญาประดิษฐ์รุ่นที่ห่วยที่สุดที่คุณจะได้ใช้งาน
หลังจากรู้จักพัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์รวมถึงฐานคิดในการทำงานร่วมกันแล้ว มอลลิกได้พาเราไปลงรายละเอียดว่า ปัญญาประดิษฐ์เปลี่ยนชีวิตของพวกเราด้วยการทำตัวเสมือนเป็นเพื่อนร่วมงาน ครู ผู้เชี่ยวชาญ หรือกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งได้อย่างไร
ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะบุคคล
มอลลิกระบุว่าถึงแม้โมเดลภาษาขนาดใหญ่จะเป็นผลงานทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่น่าทึ่ง แต่ปัญญาประดิษฐ์ทำงานไม่เหมือนกับซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ทำงานแบบคาดเดาได้ เชื่อถือได้ และดำเนินงานตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เพราะปัญญาประดิษฐ์นั้นอยู่ตรงกันข้ามกับความแน่นอนและความเชื่อถือได้
“มันทำให้เราประหลาดใจด้วยวิธีแก้ไขปัญหารูปแบบใหม่ๆ ลืมความสามารถที่ตัวเองมี หรือแม้แต่จินตนาการคำตอบลวงขึ้นมา”
ขณะเดียวกัน การทดลองหลายครั้งก็แสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์มีความคล้ายกับมนุษย์อย่างมาก “พวกมันไม่เพียงประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังดูเหมือนว่าสามารถใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ แยกส่วนแนวคิดอันซับซ้อน และปรับตัวโดยอิงกับข้อมูลที่ได้รับ”
มอลลิกระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ทำงานไม่เหมือนกับซอฟต์แวร์ แต่มีพฤติกรรมคล้ายกับมนุษย์มากกว่า “ผมไม่ได้บอกว่าปัญญาประดิษฐ์ในวันนี้หรือในอนาคตมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับมนุษย์ แต่ผมเสนอแนวปฏิบัติที่ใช้งานได้จริง นั่นคือการมองว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นเสมือนมนุษย์ เนื่องจากมันมีพฤติกรรมเหมือนกับมนุษย์ในหลายด้าน”
แนวคิดดังกล่าวสะท้อนหลักการของมอลลิกที่ว่า “ปฏิบัติต่อปัญญาประดิษฐ์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง” ซึ่งจะช่วยให้เราทำความเข้าใจได้ดีขึ้นว่าจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ตอนไหน และใช้อย่างไร
ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะนักสร้างสรรค์
ปัญญาประดิษฐ์ “คิดสร้างสรรค์” ได้จริงหรือ
มอลลิกอธิบายประเด็นนี้ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่คือเครื่องจักรแห่งการเชื่อมโยง พวกมันถูกฝึกฝนให้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยข้อมูลที่ดูเหมือนจะไม่สัมพันธ์กันในสายตาของมนุษย์ “ทว่าสะท้อนความหมายอันลึกซึ้ง เมื่อเติมการสุ่มที่มาพร้อมกับการสร้างผลลัพธ์ของปัญญาประดิษฐ์ คุณก็จะได้เครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับสร้างนวัตกรรม”
การแข่งขันกันเฟ้นหาไอเดียระหว่างจีพีที-4 กับนักศึกษาปริญญาโทบริหารธุรกิจ 200 คนที่วอร์ตัน ยืนยันว่าปัญญาประดิษฐ์คิดสร้างสรรค์ได้ และคิดได้เก่งกว่ามนุษย์ โดยมันคิดไอเดียได้เร็วกว่าและมากกว่ามนุษย์ในระยะเวลาเท่ากัน แถมไอเดียเหล่านั้นก็ดีกว่าด้วย “เมื่อพวกเขาให้คณะกรรมการซึ่งเป็นมนุษย์ตัดสินว่าแนวคิดใดน่าสนใจมากพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์นั้นหากมีการผลิตจริงๆ ไอเดียที่ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้นมีแนวโน้มที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมากกว่า ที่สำคัญคือปัญญาประดิษฐ์ทิ้งห่างนักศึกษาไปไกลโข เพราะในบรรดาแนวคิดที่คณะกรรมการตัดสินว่ายอดเยี่ยมที่สุด 40 แนวคิด เป็นแนวคิดที่มาจากแชตจีพีทีถึง 35 ข้อ”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัญญาประดิษฐ์จะมีความคิดสร้างสรรค์ แต่หากเราป้อนคำสั่งแบบไม่ละเอียดรอบคอบ มันก็จะให้คำตอบเดิมๆ ซ้ำๆ และให้คำตอบที่ถูกใจคนส่วนใหญ่ “โดยเฉลี่ย” ซึ่งมาจากข้อมูลที่มันใช้ในการฝึกฝน กระนั้นเรื่องนี้ก็เปิดประตูแห่งโอกาสครั้งใหญ่ เพราะเราสามารถเชื้อเชิญปัญญาประดิษฐ์เข้ามาร่วมระดมความคิด (โดยเฉพาะในคนที่ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์เปี่ยมล้น) และผสมผสานทักษะของมนุษย์ในการคัดกรอง มองหาแรงบันดาลใจจากคลังความคิดที่ได้ระดมสมองร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ เพื่อจุดประกายไอเดียแปลกใหม่ขึ้นมา
ขณะเดียวกัน มอลลิกเห็นว่าอาชีพนวัตกรยังคงมีความจำเป็น และบรรดามนุษย์นักสร้างสรรค์ยังคงผลิตแนวคิดที่หลากหลายได้มากกว่าปัญญาประดิษฐ์ โดยมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรม และหากรู้จักปรับแต่งเล็กน้อย ปรับใช้หลักการ “กำหนดว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นใคร” เพื่อบังคับให้ปัญญาประดิษฐ์หาคำตอบแปลกใหม่หลากหลาย คุณก็จะได้ส่วนผสมที่ไม่ซ้ำใคร อันเกิดจากการทำงานแบบ “ปัญญาคู่คิด” นี่เอง
ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะเพื่อนร่วมงาน
คำถามแรกๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัว หลังจากที่เราใช้งานปัญญาประดิษฐ์อย่างเข้มข้นจริงจัง คงจะหนีไม่พ้นคำถามที่ว่าพวกมันจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของผู้คนหรือไม่ ซึ่งคำตอบของมอลลิกก็คือ “อาจเป็นไปได้”
มอลลิกระบุว่ามีงานวิจัยอย่างน้อยสี่ชิ้นที่พยายามวัดว่างานที่มนุษย์ทำได้และงานที่ปัญญาประดิษฐ์ทำได้มีความทับซ้อนกันมากน้อยแค่ไหน โดยใช้ฐานข้อมูลที่ละเอียดมากๆ ของ 1,016 อาชีพ ซึ่งงานวิจัยแต่ละชิ้นได้ข้อสรุปตรงกัน นั่นคือ “งานเกือบทั้งหมดของเราทับซ้อนกับความสามารถของปัญญาประดิษฐ์” โดยปัญญาประดิษฐ์จะทับซ้อนมากที่สุดกับงานที่ได้รับค่าตอบแทนสูง ใช้ความสร้างสรรค์สูง และต้องมีการศึกษาระดับสูง แต่งานที่ทับซ้อนมากที่สุดคือพนักงานขายทางโทรศัพท์ และจาก 1,016 อาชีพ มีเพียง 36 อาชีพที่ไม่ทับซ้อนกับความสามารถของปัญญาประดิษฐ์
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็มีแนวโน้มที่จะทับซ้อนกับความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าปัญญาประดิษฐ์จะทำงานแทนเราได้ทั้งหมด เนื่องจากแต่ละอาชีพประกอบด้วยงานย่อยหลายงาน และเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่า หากมองข้ามระบบและงานย่อย เราจะไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าปัญญาประดิษฐ์จะส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานของเราอย่างไร
มอลลิกสรุปประเด็นนี้ว่า
“นี่คือเหตุผลที่เราต้องยึดหลักการที่ว่า ควรชวนปัญญาประดิษฐ์เข้ามาร่วมวงในการทำงานทุกอย่าง เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้รูปร่างของพรมแดน (ความสามารถ) อันไม่ราบเรียบ (ของปัญญาประดิษฐ์) และรู้ว่ามันเชื่อมโยงกับกลุ่มงานย่อยที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงซึ่งประกอบสร้างเป็นอาชีพแต่ละอาชีพได้อย่างไร”
เมื่อรู้เรื่องนี้ เราก็จำเป็นต้องคิดอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับงานที่เรามอบหมายให้กับปัญญาประดิษฐ์ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของมัน และช่วยปิดจุดอ่อนของเรา
ในทัศนะของมอลลิก วิธีใช้ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการทำงานที่สร้างคุณค่ามากที่สุด คือการทำงานแบบเซ็นทอร์ (Centaur) หรือไซบอร์ก (Cyborg)
เซ็นทอร์คือการทำงานโดยมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร วิธีนี้คือการแบ่งงานกันทำอย่างมีกลยุทธ์ โดยสลับกันไประหว่างงานของปัญญาประดิษฐ์และงานของมนุษย์ และจัดสรรปันส่วนความรับผิดชอบโดยอิงกับความสามารถและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย
ไซบอร์กคือการผสมผสานระหว่างเครื่องจักรกับมนุษย์ โดยทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ไซบอร์กไม่เพียงแค่มอบหมายงาน แต่จะทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์โดยสลับไปมาระหว่างภายในและภายนอกพรมแดนความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ เช่น เราเขียนข้อความหนึ่งประโยค แล้วให้ปัญญาประดิษฐ์เขียนต่อจนจบ อย่างหนังสือ ปัญญาคู่คิด เล่มนี้ มอลลิกเขียนสำเร็จเป็นรูปเล่มได้ด้วยการทำงานทั้งแบบไซบอร์กและเซ็นทอร์
สำหรับความกังวลเรื่องผลกระทบต่อหน้าที่การงานในอนาคต มอลลิกชี้ว่า ณ ตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางอาชีพอาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขณะที่บางอาชีพอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี เขาอยากให้เราตระหนักถึงกฎของอมารา (Amara’s Law) ที่ระบุว่า “เรามีแนวโน้มที่จะประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีในระยะสั้นสูงเกินจริง และประเมินผลกระทบในระยะยาวต่ำเกินจริง”
ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะติวเตอร์
นอกเหนือจากโลกของการทำงาน การถือกำเนิดของปัญญาประดิษฐ์ก็ทำให้โลกของการศึกษาเล่าเรียนปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ไม่น้อย
หนึ่งในประเด็นที่มอลลิกชี้ให้เห็นก็คือ โมเดลภาษาขนาดใหญ่จะนำไปสู่จุดจบของการบ้าน (Homework Apocalypse) เพราะมันทำให้นักเรียนนักศึกษาโกงการบ้าน (ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยทำการบ้าน) ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนสรุปงานที่ได้รับมอบหมายให้อ่าน และที่สำคัญคือ “ไม่มีเครื่องมือใดที่ตรวจจับได้ว่าเนื้อหานั้นสร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์หรือไม่”
ยังคงไม่มีความชัดเจนว่าบรรดาครูอาจารย์ควรจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร กระนั้นก็ตาม มอลลิกระบุว่าปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทมากกว่าเพียงแค่ช่วยนักเรียนโกงการบ้าน และโรงเรียนทุกแห่งหรือครูทุกคนต้องคิดอย่างจริงจังว่า ขอบเขตการใช้งานปัญญาประดิษฐ์กับเรื่องการเรียนการสอนควรจะเป็นอย่างไร
“จุดจบของการบ้านที่กำลังใกล้เข้ามานั้นคุกคามการบ้านแบบที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งอยู่คู่กับระบบการศึกษามายาวนานนับศตวรรษ เราจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาสิ่งที่มีความเสี่ยงจะสูญหาย และเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ แต่ทั้งหมดนี้จะทำได้ก็ต้องอาศัยความพยายามอย่างเร่งด่วนจากทั้งครูผู้สอน ผู้นำด้านการศึกษา รวมถึงนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ แต่ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปกปักรักษาการบ้านแบบเก่า เพราะปัญญาประดิษฐ์ได้เปิดประตูแห่งความเป็นไปได้สู่แนวทางการสอนแบบใหม่ที่พัฒนานักเรียนให้ไปได้ไกลกว่าที่เป็นมา”
ณ ปัจจุบัน มอลลิกเห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถทดแทนการเรียนในโรงเรียนได้ทั้งหมด ห้องเรียนยังคงมีความจำเป็นสำหรับการฝึกฝนทักษะต่างๆ การแก้ปัญหาร่วมกันกับเพื่อน การเข้าสังคม และการสนับสนุนจากครูผู้สอน อย่างไรก็ตาม หากต้องการนำการเรียนรู้ “เชิงรุก” และการคิดเชิงวิพากษ์เข้ามาอยู่ในห้องเรียนให้ได้มากที่สุด มอลลิกเห็นว่าปัญญาประดิษฐ์อาจมีบทบาทในฐานะ “ผู้ช่วย” ของครูผู้สอนได้ โดยครูอาจารย์จะทำหน้าที่สอบทานข้อเท็จจริง และช่วยแนะนำการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อประโยชน์ของนักเรียนในชั้นเรียน ขณะที่ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยผู้สอนสร้างประสบการณ์การเรียนรู้เชิงรุกเพื่อทำให้ชั้นเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น ผ่านเกม กิจกรรมเพื่อประเมินผล รวมถึงสถานการณ์จำลองต่างๆ รวมถึงการใช้ “ห้องเรียนกลับด้าน” โดยนักเรียนจะได้เรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ ที่บ้านผ่านสื่อดิจิทัล แล้วนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ผ่านกิจกรรมเชิงวิเคราะห์วิพากษ์ในห้องเรียน
มอลลิกระบุว่า ณ ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนรอยต่อของยุคสมัย ปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้โดยการเสริมพลังของครูอาจารย์และนักเรียน รวมถึงการปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ แต่คำถามหนึ่งเดียวในตอนนี้ก็คือ “เรากำลังชักนำการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ขยายโอกาสสำหรับทุกคนและบ่มเพาะศักยภาพของมนุษย์ใช่หรือไม่”
ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะโค้ช
“ภัยคุกคามจากปัญญาประดิษฐ์ที่ร้ายแรงที่สุดต่อระบบการศึกษาของเราไม่ใช่การทำลายล้างการบ้าน แต่เป็นการลดทอนความสำคัญของระบบฝึกงานที่แฝงฝังอยู่หลังจากสิ้นสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
นี่อาจเป็นประเด็นที่หลายคนไม่เคยคิดถึงมาก่อน และดูเหมือนมันอาจจะกลายเป็น “ปัญหาใหญ่” สำหรับกระบวนการสร้าง “ความเชี่ยวชาญ” ของมนุษย์
มอลลิกอธิบายว่ามนุษย์พัฒนาความเชี่ยวชาญด้วยการเริ่มต้นทำงานจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุด ภายใต้การดูแลและการให้คำแนะนำของคนที่มีประสบการณ์มากกว่า เพื่อเปลี่ยนมือสมัครเล่นให้กลายเป็นมืออาชีพ แต่กระบวนการนี้มีแนวโน้มที่ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาทำหน้าที่แทน “คนที่มีประสบการณ์มากกว่า” มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีหลักประกันว่ามันจะนำไปสู่การบ่มเพาะความเชี่ยวชาญได้เช่นที่เคยเป็นมา นอกจากนี้ บรรดา “หัวหน้า” ก็อยากทำงานให้เสร็จไวๆ แทนที่จะต้องคอยแก้ไขความผิดพลาดของพวก “น้องใหม่” ในที่ทำงาน พวกเขาจึงเลือกใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานพื้นๆ แทนพวกน้องใหม่ ทำให้พวกน้องใหม่เสียโอกาสในการฝึกฝน
สถานการณ์เช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นในหลากหลายสาขาอาชีพ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์จำเป็นต้องเก็บรักษาและฟูมฟักความเชี่ยวชาญ โดยมอลลิกยืนยันว่าจำเป็นต้องมีมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ในกระบวนการสร้างความเชี่ยวชาญเสมอ
เขาระบุว่าความเชี่ยวชาญจะมีความสำคัญมากกว่าในอดีต เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจะใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ ได้มากที่สุด รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไขความผิดพลาดจากปัญญาประดิษฐ์ได้อีกด้วย นอกจากนี้ “เนื่องจากความเชี่ยวชาญจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง นักเรียนจึงยังคงต้องเรียนรู้เรื่องการอ่าน การเขียน ประวัติศาสตร์ และทักษะ พื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 … ขณะเดียวกัน ขอบเขตความสามารถโดยรวมของเราก็จะขยายกว้างยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญญาประดิษฐ์ช่วยเติมเต็มช่องว่างและเป็นพี่เลี้ยงให้เราพัฒนาทักษะของตัวเอง หากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ก็มีโอกาสอย่างยิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์จะทำงานร่วมกับเราในฐานะปัญญาคู่คิด โดยช่วยเติมเต็มสิ่งที่เราไม่รู้ และผลักดันให้เราเก่งขึ้นไปอีกขั้น”
ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้
อีธาน มอลลิก มองเห็นอะไรในโลกอนาคต
เขามองเห็นความเป็นไปได้สี่แบบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกของปัญญาประดิษฐ์
เริ่มต้นด้วยอนาคตที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด คือปัญญาประดิษฐ์หยุดการพัฒนา มอลลิกบอกว่านักวิจัยจำนวนหนึ่งเริ่มมองเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโครงสร้างสถาปัตยกรรมและวิธีฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์ ที่เมื่อพัฒนาถึงจุดหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่จำกัดขีดความสามารถของมันเอง หรือที่เป็นไปได้มากขึ้นอีกหน่อยคือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ถูกหยุดยั้งด้วยกฎหมายหรือกฎระเบียบ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์อาจโน้มน้าวรัฐบาลให้ยุติการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ได้สำเร็จ
ฉากทัศน์ต่อมาคือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะด้วยต้นทุนการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้นและข้อกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งขีดจำกัดทางเทคนิคของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ มอลลิกเปรียบเทียบฉากทัศน์นี้กับการเพิ่มอุณหภูมิอย่างช้าๆ แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมนุษย์ยังคงเป็นผู้ควบคุมทิศทางของปัญญาประดิษฐ์ได้”
แต่ที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้พัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป
ฉากทัศน์ที่สามคือปัญญาประดิษฐ์พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งทำให้ปัญญาประดิษฐ์เก่งขึ้นมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นมีความรู้สึกนึกคิดหรือตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง
แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดจะไม่ได้เกิดขึ้นตลอดไป แต่ถ้าหากการเติบโตเกิดขึ้นยาวนานหรือมากเพียงพอ นักวิจัยปัญญาประดิษฐ์จำนวนหนึ่งเชื่อว่าเมื่อปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถถึงจุดหนึ่ง มันจะบรรลุถึงการเป็นปัญญาประดิษฐ์อเนกประสงค์ หรืออาจถึงขั้นฉลาดล้ำเหนือมนุษย์
ฉากทัศน์สุดท้าย เครื่องจักรจะพัฒนาจนถึงขั้นปัญญาประดิษฐ์อเนกประสงค์ และมีความรู้สึกนึกคิดบางรูปแบบ พวกมันชาญฉลาดและทำสิ่งต่างๆ ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ถึงขั้นออกแบบปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดยิ่งกว่าเดิม และในที่สุด สิ่งที่มีสติปัญญาเหนือมนุษย์ก็จะถือกำเนิด
ในฉากทัศน์นี้ “มนุษย์ในฐานะเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและชาญฉลาดที่สุดจะถูกโค่นบัลลังก์”
…..
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต มอลลิกทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่าแทนที่เราจะวิตกกังวลกับหายนะครั้งใหญ่จากปัญญาประดิษฐ์ เราน่าจะวิตกกังวลกับหายนะที่เล็กกว่านั้นซึ่งอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์หรือต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ใช้เครื่องมือพวกนี้เพื่อสอดแนมหรือปลดพนักงานจำนวนมาก ผู้ด้อยโอกาสในประเทศกำลัง พัฒนาที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มคนอื่นๆ จากตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป หรือครูอาจารย์บางคนอาจใช้ปัญญา ประดิษฐ์ในรูปแบบที่ทิ้งนักเรียนบางคนไว้ข้างหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วก็เป็นได้
ปัญญาคู่คิด ไม่ได้บอกสูตรสำเร็จของการมีชีวิตและการทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ เช่นเดียวกันกับที่ไม่ได้บอกว่าเทคโนโลยีชิ้นใหม่ล่าสุดของมนุษย์จะรับบทเป็นพระเจ้าหรือซาตาน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือปัญญาประดิษฐ์ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และมนุษย์อย่างเราก็อาจทำได้เพียงแค่ศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของเราและของมันให้เหมาะควรกับเงื่อนไขชีวิตของเราแต่ละคน
“ปัญญาประดิษฐ์ก็ไม่ต่างจากกระจกสะท้อนตัวตนทั้งด้านที่ยอดเยี่ยมและยอดแย่ของเรา ท้ายที่สุดแล้ว เราคือผู้ตัดสินใจว่าจะใช้มันอย่างไร และทางที่เราเลือกจะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าปัญญาประดิษฐ์จะทำอะไรเพื่อเรา และจะเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติไปอย่างไร”
ทดลองอ่านและสั่งซื้อหนังสือ ปัญญาคู่คิด
ปัญญาคู่คิด
อัปเกรดทักษะมนุษย์ยุคใหม่ เปลี่ยนเอไอเป็นเพื่อนร่วมงาน-สร้างสรรค์-เรียนรู้
pre-order ลด 10% ส่งฟรี – 19 ธ.ค. เริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.



