บ.ก.ขอเล่า | พลังแห่งภาษา

บ.ก.ฝน ชลิดา หนูหล้า

ฉันบอกซูเปอร์ไวเซอร์ไม่ได้ว่าฉันเกรงใจเขา ไม่มีคำไหนในภาษาอังกฤษเท่าที่ฉันรู้ในขณะนั้นจะห่อมวลแห่งอารมณ์และนัยทั้งปวงที่แผ่กิ่งก้านแสนไกลในคำว่า “เกรงใจ” ได้เลย 
.
ครั้นเวลาผ่านไปอีกหน่อย ฉันพยายามบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าฉันหมั่นไส้เขาเหลือเกิน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำใดในภาษาอังกฤษเท่าที่ฉันรู้ในขณะนั้นจะถ่ายทอดเหลี่ยมมุมที่ไม่คมแข็งเกินควรในความ “หมั่นไส้” ได้เช่นกัน 
.
เชื่อเหลือเกินว่าใครก็ตามที่พูดสองภาษาขึ้นไป (รวมภาษาที่ถูกพิจารณาเป็นภาษาถิ่นทั้งหมด) ต้องเคยประสบความคับข้องใจยามที่ความรู้สึกหรือสถานการณ์ซึ่งเผชิญอยู่อาจบรรยายหรืออธิบายได้ด้วยคำหรือวลีในบางภาษาเท่านั้น บางครั้งความเชื่อมโยงระหว่างคำในสองภาษาก็ชวนขันในทางน่าละอายจนต้องเก็บไว้ยิ้มย่องในใจเพียงผู้เดียว บางคนสัมผัสได้ถึงบุคลิกภาพและน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนระหว่างภาษา ฉันใช้เสียงแหลมและดังที่สุดเมื่อพูดคำเมือง และเป็นมิตรที่สุดเมื่อใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อนบางคนของฉันมีเสียงทุ้มต่ำผิดหูเมื่อพูดภาษาเยอรมัน ขณะที่สามีดูจะเป็นกันเองที่สุดเมื่อใช้ภาษาอีสาน กระทั่งเพลงหรือถ้อยความเดียวกันในสองภาษายังฟังผิดแผกไป เพลง “Reflection” จาก Mulan ฉบับภาษาอังกฤษฟังแล้วฮึกเหิมชาญชัย แต่ฉันไม่อาจร้องเพลงเดียวกันนี้เป็นภาษาไทย ฉบับของคุณนฤมล จิวังกูร โดยไม่ร้องไห้ได้เลย ราวกับมีบางสิ่งในภาษาแม่ (หากฉันจะนับภาษาไทยเป็นภาษาแม่ได้) ซึ่งถ่วงน้ำหนักของการไม่อาจเป็นลูกสาวที่น่าภาคภูมิของมู่หลาน ให้หนักหนาสาหัสและกระเทือนใจผิดธรรมดา
.
แล้วท่ามกลางคำอธิบายที่กระจัดกระจายในโลกออนไลน์ หนังสือเล่มนี้ก็มาถึงมือฉัน เพียงอ่านบทแรกก็ยืนยันได้ทันทีว่าต้องตีพิมพ์ เพราะ “ภาษาศาสตร์จิตวิทยา” ที่ผู้เขียนเอ่ยถึงดูจะครอบคลุมความสงสัยที่ว่า “ภาษากำลังเล่นตลกอะไรกับใจของเรากันแน่” เกือบครบถ้วน เพียงแต่เมื่ออ่านจบกลับพิศวงกว่าเดิม เพราะดูเหมือนภาษาที่แปรเปลี่ยนจะไม่เพียงบิดผันบางสิ่งที่จับต้องได้ยากอย่างอารมณ์เท่านั้น แต่ยังทรงพลังชนิดแปลงรูปสิ่งที่เป็นกายภาพที่สุดอย่างสมองของเราได้ ก็แล้วทำไมภาษาจะทำไม่ได้เล่า เห็นกันอยู่โต้งๆ ว่าความคิดอ่านของเราเปลี่ยนแปลงไปได้เพียงใดด้วยภาษาเท่านั้น ภาษาน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราคิดถึงมันในลักษณะเดียวกับที่ครุ่นคิดถึงความลี้ลับของจักรวาล เพราะเป็นไปได้อย่างไรที่คำซึ่งกระเด็นกระดอนจากปาก หยิบจับฉวยคว้ามาไม่ได้ และกำเนิดจากการสอดประสานหรือผลักไสด้วยรูปแบบต่างกันไปของอวัยวะภายในไม่กี่ชิ้น จะก่อความเปลี่ยนแปลงสำคัญบางประการในร่างกายได้จริง ราวกับเวทมนตร์ที่เกิดจากการบิดไม้แปลงมือเป็นรูปร่างต่างๆ แล้วเสกซัดไปอย่างไรอย่างนั้น (หรือนั่นจะนับเป็นอวัจนภาษารูปแบบหนึ่งนะ) ไหนจะที่ผู้เขียนบอกว่าหากถือว่าภาษาเป็นรหัสที่ให้ผลลัพธ์เป็นสิ่งต่างๆ กันไปแล้ว ก็ควรจะนับได้ว่ารหัสพันธุกรรมของเราเป็นภาษาหนึ่งเช่นกัน!
.
แล้วหอคอยแห่งบาเบลจะเอาอะไรไปต้านทาน ไม่ว่าจะตีความหอคอยในที่นี้เป็นความทะยานอยากของมนุษย์ในพระคัมภีร์ หรือสิ่งปลูกสร้างต้องสงสัยในข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดีก็ตาม ผู้สร้างหอคอยจะต่อกรอย่างไรกับพลังอันยิ่งใหญ่เทียมอำนาจที่สร้างจักรวาลนี้แต่ต้นเล่า ทันทีที่ผู้คนพูดภาษาต่างกัน ไม่เพียงพวกเขาไม่อาจทำงานร่วมกันได้ พวกเขาไม่สามารถกระทั่งสื่อสารความในใจอย่างตรงไปตรงมา กำแพงที่ชื่อว่าประสบการณ์ส่วนบุคคลตระหง่านง้ำอยู่เดิม แล้วยังมีกำแพงภาษาอีกชั้นสูงเสียดฟ้าขึ้นไปอีก เมื่อกำแพงแห่งภาษานี้ทอดเงาลงมา รูปร่างแห่งกำแพงประสบการณ์ก็เปลี่ยนแปรไปด้วยไม่หยุดหย่อน รอยยิ้มจึงกลายเป็นการถากถาง โทสะก็ดูน่าขบขัน คำหยอกล้อก็ฟังราวคำผูกพยาบาท และเชื่อเถอะว่าในหอคอยแห่งบาเบลยุคปัจจุบันอย่างบริษัทข้ามชาติ หรือสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยคนหลากเชื้อชาติก็จะยังประสบปัญหาเดียวกันนี้ กำแพงแห่งภาษาจะแยกเราจากกันทั้งด้วยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ตลอดจนความสามารถที่แตกต่างหลากหลายในการคิด การเชื่อมโยง รวมถึงการตระหนักถึงการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ
.
กระนั้นก็ใช่ว่ากำแพงแห่งภาษาจะยากเกินก้าวข้ามไปตลอดกาล ใช่ว่าเราจะตกลงมาทุกครั้งที่บินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ อย่างน้อยหากเราตระหนักได้เสียก่อนว่าเหตุใดเราจึงไปไม่ถึงฝั่งฝัน นั่นคือตระหนักว่าภาษาทำสิ่งใดกับสมองของเราได้บ้าง และเรารู้เกี่ยวกับอำนาจที่แท้จริงของมันน้อยนิดเพียงใด ในโลกที่งานวิจัยเกี่ยวกับสมองมนุษย์ยังโคจรรอบสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษ และสมองของผู้ที่พูดได้ภาษาเดียวเป็นสำคัญ ในโลกที่ผู้คนมากมายต้องตัดสินใจในประเด็นคอขาดบาดตายด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ แต่หลายคนยังอับอายเกินกว่าจะให้ลูกพูดภาษา “ที่ต่ำต้อยกว่า” ของตัวเอง ในโลกที่ภาษายังถูกตีค่าด้วยเม็ดเงินที่มันนำมาเท่านั้น ไม่ใช่พลังแห่งการก่อรูปบุคลิกภาพทั้งในระดับปัจเจกและสังคมของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะขุดคุ้ยให้ลึกลงไป ว่าภาษาสร้างมนุษย์อีกคนหนึ่งให้แตกต่างจากเราได้มากน้อยเพียงใด โดยไม่ได้มีอำนาจบังคับน้อยไปกว่าปัจจัยแวดล้อมอื่นใดเลย 
.
เราอาจยังสร้างหอคอยแห่งบาเบลไม่สำเร็จในยุคนี้ แต่อย่างน้อยมันจะสูงพอให้เป็นที่ประจักษ์และอุ่นใจว่า เราได้พยายามกระทำบางสิ่งร่วมกันแล้วในฐานะมนุษยชาติ และบางสิ่งที่ว่าก็แสนเรียบง่าย เพียงการพยายามทำความเข้าใจกันในระดับที่ลึกซึ้งกว่าเคยเท่านั้นเอง

อ่านตัวอย่างและสั่งซื้อหนังสือ พลังแห่งภาษา ได้ที่นี่