
บุญชัย แซ่เงี้ยว
ตอนนี้คุณป่วยใจอยู่หรือเปล่าครับ เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงนี้ผมได้ไปโรงพยาบาลจิตเวชของรัฐ ห้องโถงผู้ป่วยนอกที่นั่นใหญ่มาก และมีคนรอพบแพทย์เกินหลักหลายร้อยในหลากหลายวัย บางคนมาคนเดียว บางคนมาด้วยกัน บ้างแต่งตัวภูมิฐาน บ้างสวมเสื้อซีดเซียว บ้างยืนกัดเล็บ บ้างเดินวนไปมา บ้างแขนท่อนล่างมีรอยกรีดเต็มแขน บ้างนั่งคุยกัน บ้างคุยไม่ยอมหยุด จนมีคนลุกไปด่าเสียงดังหยาบคายแล้วกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โต หรือบ้างก็นั่งเงียบ สงบนิ่ง
ในใจของพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไรกันอยู่
ผมได้แต่คิดเอง เอาจริงๆ ผมไม่รู้
การจะเข้าใจและฟังใครสักคนอย่างที่เขาเป็นตัวเขาจริงๆ ว่ายากแล้ว การจะเข้าใจและฟังคนป่วยใจก็ยากพอกัน และออกซับซ้อนอยู่มากด้วย
เพราะไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ก่อนที่เขามานั่งตรงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ในหัวของเขาปั่นป่วนขนาดไหน เสียงแว่วที่ตามมาหลอกหลอนทุกค่ำคืนทรมานเขาอย่างไร เขาอาจทำให้คนกลัว เคยทำร้ายคนอื่น หรือเคยมีคนทำร้ายเขา เขาอาจเจอความสูญเสียที่เราไปตัดสินไม่ได้
คนแปลกหน้าชื่อว่าตัวเอง ฟังเสียงของคนป่วยใจเหล่านั้น ผ่านบันทึกส่วนตัวของคนห้าคน จากต่างเวลาต่างสถานที่และต่างอาการ รวมถึงจากในใจของตัวผู้เขียน เรเชล อาวีฟ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นอะนอเร็กเซียหรือโรคคลั่งผอม ตอนเธอหกขวบ
หนังสือเล่มนี้บันทึกบาดแผลทางใจและประวัติศาสตร์จิตเวช ตั้งแต่คืนวันที่จิตวิเคราะห์เฟื่องฟู จนถึงโมงยามของจิตเภสัชวิทยา กับผู้คนที่ยืนอยู่ริมขอบผาของคำอธิบายทางจิตเวช
เรเชลตั้งคำถามถึง “การวินิจฉัย” กับ “อัตลักษณ์” เมื่อสิ่งที่แพทย์วินิจฉัยออกมา ได้สวมทับกลายเป็นตัวตนใหม่ของผู้ป่วยคนนั้น หากเราป่วยอยู่ โรคนั้นก็กลายเป็นนิยามใหม่ของตัวเรา หากมันยาวนานไร้สิ้นสุด มันก็กลายเป็นวิถีชีวิตไป แต่ตัวเราที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ตัวเราแล้วหรือ ก่อนหน้านั้นเราเป็นใคร หรือว่าเรากลายเป็นคนแปลกหน้าของเราเอง
“ในช่วงชีวิตที่เรากำลังเจ็บป่วย การมองให้ออกว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหนนั้นไม่ง่ายเลย” เรเชลเขียน “เราคงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปค้นเจอว่ามีความรู้สึกเช่นไรอยู่ ณ ก้นบึ้งของจิตใจก่อนที่เรื่องราวจะได้รับการบอกเล่าออกมา ในยามที่ความกังวลใจ ความอ้างว้าง และความสับสนของคนคนหนึ่งยังไม่ได้ถูกนิยามออกมาเป็นชื่อหรือนิยามที่จับต้องได้”
ที่พิเศษกับผมอยู่มากคือเรื่องที่เธอเล่า และวิธีที่เธอเล่า กับถ้อยคำที่สัมผัสใจ หนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ในวันที่ผมป่วยใจ เป็นเพื่อนที่ไม่ตัดสิน เขาแค่บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาเศร้าแค่ไหน เขาเดียวดายอย่างไร เรื่องที่เขาสูญเสีย สิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน เรื่องที่ไม่อาจเป็นได้ ความรู้สึกผิด ความสับสน ความสิ้นหวัง ความคับแค้น การสู้กับคนอื่น การเผชิญกับตัวเอง หรือแม้แต่ความรัก ความคิดถึง เอื้อมออกไป ควานหา ไขว่คว้าการเยียวยา ที่อยากให้มีคนเข้าใจ
เมื่อเรเชลเขียนถึงวัยเด็กของเธอ ผมรู้สึกได้ถึงเยาว์วัยของเด็กน้อยในวันนั้น เมื่อเธอเขียนถึงอดีตของคนอื่น ผมรู้สึกถึงเลือดเนื้อและชีวิตที่ส่วนตัวอย่างยิ่ง เมื่อเธอเขียนให้อ่อนไหว ผมอ่อนไหว เธอพาผมไปยังมหาสมุทรของการนึกถึงใจคนอื่น ฝ่าคลื่นแปรปรวนของความไม่มั่นคง ในพรมแดนที่ยากจะอธิบายเป็นภาษาออกมา ไปสู่ตอนจบที่ไม่มีวันจบ
ผมได้ไปเห็นชีวิตคนที่เรเชลเลือกมาเล่า เหมือนจะสนิทกับพวกเขาขึ้นอีกนิด เปิดโลกจิตเวชขึ้นอีกหน่อย และพอจะเห็นตัวเองชัดขึ้นบ้าง
หนังสือเล่มนี้ดีครับ สำหรับผมดีมากๆ เลยด้วย เรเชลเขียนแบบเปิดกว้าง เว้นระยะให้เราอยู่มาก ทิ้งพื้นที่ให้เราเป็นเรา ผมไม่รู้คุณจะชอบเล่มนี้ไหม แต่ผมหวังว่า คุณกับหนังสือจะได้พบกัน และหนังสือจะอยู่ข้างคุณ ยามที่คุณต้องการ
สำหรับผม หนังสือเล่มนี้บอกกับผมว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้”
ขอบคุณที่เราได้พบกัน








