[su_note note_color=”#fdfde5″]นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ชวนอ่านหนังสือ Jim Trelease’s Read-Aloud Handbook (8th Edition): พลังแห่งการอ่านออกเสียง เขียนโดย จิม เทรลีส บรรณาธิการฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 8 โดย ซินดี จิออร์จิส แปลโดย อสมาพร โคมเมือง และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์บุ๊คสเคป
การอ่านออกเสียงมีประโยชน์อย่างไร สำคัญแค่ไหน และต้องทำอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบผ่านหนังสือเล่มดังของโลก ที่บรรจุงานวิจัยที่น่าสนใจไว้มากมาย ขยายความและตีความโดยนายแพทย์ผู้คร่ำหวอดและทำงานสนับสนุนการอ่านหนังสือให้เด็กฟังในประเทศไทยมาเนิ่นนาน[/su_note]
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ตอนที่ 4 คลังคำและความจำใช้งาน (2)
คลังคำที่ได้จากการอ่านออกเสียงให้ลูกฟังมีมากกว่าคลังคำที่ได้จากการพูดคุยหรือเล่านิทาน ดังนั้นเราจึงควรอ่านออกเสียงให้ลูกฟังนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ไม่เป็นความจริงที่ว่าเราควรเลิกอ่านออกเสียงเมื่อพบว่าลูกอ่านหนังสือเองเป็นแล้ว
ใจความสำคัญของครึ่งหลังของบทที่สองนี้มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก
เรื่องที่หนึ่ง คือการอ่านออกเสียงให้เด็กพิเศษ
หนังสือได้ยกตัวอย่างเจนนิเฟอร์ เจนนิเฟอร์คลอดก่อนกำหนดและเป็นดาวน์ซินโดรม เธอรับการผ่าตัดแก้ไขหัวใจพิการแต่กำเนิดและต้องอยู่ในห้องไอซียู แล้วอยู่โรงพยาบาลอีกเจ็ดสัปดาห์ คุณหมอบอกกล่าวว่าเธออาจจะตาบอด หูหนวก และปัญญาอ่อน
นี่คือเรื่องที่คุณแม่ของเจนนิเฟอร์ทำ คุณแม่อ่านนิทานคืนละ 10 เล่มทุกวันตั้งแต่แรก ช่วงที่เจนนิเฟอร์อยู่ในไอซียูคุณแม่จะเปิดเสียงนิทานทิ้งเอาไว้ และคุณแม่ทำเช่นนี้เสมอมาจนกระทั่งเจนนิเฟอร์เรียนชั้นประถมหนึ่ง
เจนนิเฟอร์อ่านเก่งที่สุดในห้องและมีคลังคำศัพท์มากมาย สอบอ่านได้คะแนนเต็มทุกครั้ง เธอเป็นนักเรียนดีเด่น เป็นนักไวโอลิน เรียนจบประกาศนียบัตรหลังประถมปลายสำหรับผู้มีปัญหาการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยเวสลีย์ วันนี้เธอมีคอนโดมิเนียมของตนเองและมีพจนานุกรมสองเล่มวางอยู่บนโต๊ะตลอดเวลา
ผมได้รับคำถามจากคุณพ่อคุณแม่ของเด็กพิเศษเสมอๆ ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี การไปพบนักพัฒนาการหรือนักแก้ไขการพูดทุก 1-2 เดือนเป็นเรื่องที่กระทำอยู่แล้วแต่เห็นความก้าวหน้าไม่มากนัก
คำตอบที่ผมให้เสมอคือควรไปพบนักพัฒนาการหรือนักฝึกพูดตามนัดเสมอ อย่าหมดหวังหรือหมดกำลังใจ และให้ตั้งใจฝึกหรือกระตุ้นลูกตามคำแนะนำของนักพัฒนาการหรือนักฝึกพูดตลอดช่วงเวลาที่อยู่บ้านเพื่อรอนัดครั้งต่อไป เราต้องทำเอง มิใช่ยกหน้าที่ให้นักพัฒนาการหรือนักฝึกพูดทำเพียงเดือนละ 1 ชั่วโมง หากเราลงมือทำเองทุกวันเด็กจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ผมเติมเสมอว่าให้อ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน อย่าหยุดอ่าน ที่ผมไม่ได้พูดคืออ่านอย่างน้อย 10 เล่มแบบคุณแม่ของเจนนิเฟอร์ ที่ผมพูดเสมออีกเรื่องคืออ่านเล่มไหนก็ได้ที่ลูกฟัง และคนอ่านสนุกกับการอ่าน
หนังสือเล่มนี้ได้ให้คำแนะนำเรื่องการเลือกหนังสือนิทานสำหรับเด็กพิเศษในตอนเริ่มต้นไว้ดังนี้
- ใส่ใจหน้าปก ขนาด หน้าหนังสือ ขนาดรูปภาพ และขนาดตัวอักษร
- เลือกที่มีคำซ้ำหรือคำคล้องจอง
- เลือกเรื่องสั้นๆ ข้อความไม่เยอะ
- เลือกเรื่องที่มีรูปภาพง่ายๆ ไม่รกตา
- เลือกเรื่องที่มีการตั้งคำถาม
ทั้งนี้โดยยกตัวอย่างหนังสือหลายเล่ม เล่มที่มีแปลไทยแล้วคือ หนอนจอมหิว (The Very Hungry Caterpillar) ของเอริก คาร์ล อย่าลืมว่าเด็กพิเศษหรือเด็กสมาธิสั้นไม่อยู่นิ่งในวันแรกๆ ขอให้อดทนที่จะอ่านต่อไป เด็กจะนิ่งหรือมีสมาธิเพิ่มขึ้นได้เมื่อมีระบบความจำใช้งานที่แข็งแรงขึ้น ทั้งหมดนี้ใช้เวลาหลายเดือน
เมื่อหมดกำลังใจให้ดูเจนนิเฟอร์เป็นตัวอย่าง
เรื่องที่สอง คือเรื่องการอ่านออกเสียงให้วัยทีนหรือวัยรุ่น
คำแนะนำคือเราอ่านออกเสียงให้ลูกฟังได้จนกระทั่งเขาอายุประมาณ 11-12 ปี และอายุ 11-12 ปีนี้เป็นที่ยืนยันว่าที่จริงแล้วเขายังอยากฟัง
หนังสือยกตัวอย่างกรณีของคริสเตน โบรซินา ที่พ่อของเธอ จิม โบรซินา อ่านหนังสือให้เธอฟังรวม 3,218 คืน โดยไม่มีใบงานหรือการทดสอบคำศัพท์ อีกครั้งหนึ่ง อ่านนิทานให้ลูกฟังด้วยความสนุกสนาน ไม่ต้องมีใบงานหรือทดสอบคำ
“เธอมีอะไรตอบแทนความพยายามของพ่อบ้างนอกเหนือจากความรัก ความผูกพัน และประสบการณ์ร่วมกัน” คำตอบคือเกรดเอเกือบทุกวิชาในสี่ปีที่วิทยาลัย ชนะเลิศงานเขียนระดับประเทศสองครั้ง และเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ที่เธอมีร่วมกับพ่อหนึ่งเล่มโดยใช้นามปากกาว่า อลิซ ออซมา ชื่อหนังสือว่า สัญญาที่จะอ่าน พ่อของฉันและหนังสือที่เราอ่านด้วยกัน (The Reading Promise: My Father and the Books We Shared)
การชักชวนวัยรุ่นให้มาอ่านหนังสือด้วยกันมิใช่เรื่องง่ายนักหากมิได้มีการเตรียมตัวมาก่อนจนกระทั่งคุ้นเคย คำแนะนำที่หนังสือนี้มีให้ คือ 3 B
ในประดาวัฒนธรรมคำย่อที่แสนน่าเบื่อ ผมพบว่าคำย่อ 3 B นี้เข้าท่ามาก
Books ให้หนังสือแก่เด็ก ให้เด็กได้เขียนชื่อตัวเองและเป็นเจ้าของหนังสือ มิใช่ทุกเล่มต้องขอยืมจากห้องสมุด
Baskets ทำตะกร้าหนังสือไว้ในที่ที่เด็กจะได้หยิบ และหยิบง่าย วางหนังสือไว้ทั่วบ้านดีกว่าเก็บหนังสือไว้กระจุกเดียว
Bed Lamp ซื้อโคมไฟหัวเตียงอ่านหนังสือให้แก่ลูก ข้อนี้อ่านแล้วออกจะโหดเล็กน้อย ถ้าเด็กอ่านหนังสือเราจะเปิดไฟให้อ่านแล้วขยายเวลาเข้านอนไปได้อีก 15 นาที ถ้าเด็กไม่อ่านหนังสือเราจะปิดไฟนอนตามเวลาเดิม เป็นไปได้หากทำจนเป็นนิสัยตั้งแต่เล็กเพียงเพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านก่อนเข้านอน
มีอีกคำแนะนำหนึ่งข้อที่เข้าท่า อ่านออกเสียงในรถให้ลูกฟังเมื่อขับรถส่วนตัวเดินทางไกล ถ้าพ่อหรือแม่ขับรถเองและอีกคนมิได้ไปด้วยให้เปิดเทปนิทาน นวนิยาย หรือวรรณกรรมไประหว่างทาง
ทั้งหมดนี้ภายใต้ข้อเท็จจริงที่พูดถึงแล้วนั่นคือ คำศัพท์เพื่อการฟัง มาก่อนคำศัพท์เพื่อการอ่าน
อ่าน ‘Read-Aloud Handbook’ มหัศจรรย์แห่งการอ่านออกเสียง ตอน 1
อ่าน ‘Read-Aloud Handbook’ มหัศจรรย์แห่งการอ่านออกเสียง ตอน 2
อ่าน ‘Read-Aloud Handbook’ มหัศจรรย์แห่งการอ่านออกเสียง ตอน 3
Read-Aloud Handbook (8th Edition): พลังแห่งการอ่านออกเสียง
Cyndi Giorgis เขียน
อสมาพร โคมเมือง แปล
488 หน้า
อ่านตัวอย่างหนังสือและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่