
เรื่อง: อภิรดา มีเดช
“การจะพลิกชีวิตของนักเรียนให้สำเร็จนั้น ครู ต้องหัดเปลี่ยนตนเอง ก่อน ที่จะคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงสำคัญจะเกิดขึ้นกับนักเรียน หนทางสู่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ไร้ซึ่งขวากหนาม อุปสรรคต่างๆ นั้นจัดการได้ และคุณเองก็ทำสำเร็จได้เช่นกัน”
— เอริก เจนเซน
หนังสือ Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students From Poverty เขียนโดย Eric Jensen ครูและนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์สมองชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งซูเปอร์แคมป์ (SuperCamp) โครงการด้านวิชาการเพื่อพัฒนาการทางสมอง นับเป็นโครงการแรกและมีเครือข่ายมากที่สุด โดยจัดมาแล้วใน 14 ประเทศทั่วโลก เจนเซนยังได้รับยกย่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับโลก ซึ่งมีเพียง 30 คน (Top 30 Global Guru in Education) และสานงานด้านการพัฒนาวิชาชีพครูในระดับนานาชาติเรื่อยมา
สาเหตุที่เขาตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชีวิตวัยเด็กต้องพบเจอทั้งความขัดสนและความรุนแรงในครอบครัว หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากครูหลายๆ คน โลกไม่มีทางรู้จักครูและนักเขียนหนังสือดังกว่า 30 เล่มที่ชื่อเอริก เจนเซน เป็นแน่
“หากตอนนั้นครูไม่ใส่ใจช่วยเหลือ ผมคงถอดใจและล้มเลิกความพยายามไปแล้ว … และผมก็รับรู้ได้ถึงพลังแห่งสายใยและการสอนที่มีคุณภาพ”
หนังสือ Poor Students, Rich Teaching เล่มนี้ได้นำเสนอชุดความคิดที่เป็นประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งวิธีการสอนอันแปลกใหม่ โดยเชื่อว่าครูจะกลับมารักงานสอนอีกครั้ง อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าหนทางสู่การสร้างชุดความคิดใหม่ๆ นั้นจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เจนเซนเพียงบอกว่านี่เป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ คุ้มค่าที่จะลอง และยืนยันว่าครูทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน เขายังย้ำว่าข้อมูลที่นำเสนอจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสู่ความสำเร็จของศิษย์ รวมถึงการพัฒนาตนเองของครูด้วย
ข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่าความยากจนทำให้เด็กไทยกว่า 500,000 คนหลุดจากระบบการศึกษาไป และอีก 2 ล้านคนมีแนวโน้มไม่ได้เรียนต่อ ทั้งนี้มีเยาวชนเพียง 5 เปอร์เซ็นต์จากครอบครัวยากจนกลุ่ม 20 เปอร์เซ็นต์ล่างสุดของประเทศที่มีโอกาสเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
นับเป็นโอกาสดีที่ครูและผู้ทำงานกับเด็กไทยจะได้มีโอกาสนำข้อมูลและองค์ความรู้ต่างๆ มาปรับและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทห้องเรียนเมืองไทย เนื่องจากสำนักพิมพ์ bookscape กำลังจะตีพิมพ์หนังสือ Poor Students, Rich Teaching เป็นภาษาไทยในปี 2020 หนังสือเล่มนี้อาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจและเป็นอีกแนวทางร่วมขยับตัวเลขนักเรียนไทยเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษารวมถึงสายวิชาชีพเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งก็ต้องพิจารณาให้เข้ากับความต้องการที่แท้จริงของตัวนักเรียนเองด้วยเช่นกัน
ความฉลาดสร้างได้!
วัตถุประสงค์หลักของหนังสือเล่มนี้คือการพัฒนาเครื่องมือทรงประสิทธิภาพเพื่อการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ “ชุดความคิด” (mindset) ซึ่งหมายถึงรูปแบบทางความคิดที่คนเรามีต่อสิ่งต่างๆ แครอล ดเวก (Carol Dweck) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดอธิบายว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องสติปัญญาใน 2 รูปแบบ ได้แก่
- โลกนี้มีแค่คนฉลาดกับคนไม่ฉลาด (ชุดความคิดแบบยึดติด หรือ fixed mindset)
- เราทุกคนเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเองได้ (ชุดความคิดแบบเติบโต หรือ growth mindset)
เมื่อกล่าวถึงสติปัญญาหรือความสามารถ เราอาจมีความเชื่อแบบใดแบบหนึ่งมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นชุดความคิดแบบยึดติด (หยุดอยู่กับที่) หรือชุดความคิดแบบเติบโต (พัฒนาตนเองได้) คนที่มีชุดความคิดแบบยึดติดเชื่อว่าสติปัญญาและความสามารถเป็นคุณสมบัติตายตัวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนคนที่มีชุดความคิดแบบเติบโตจะมองว่าสติปัญญาและความสามารถนั้นพัฒนาได้ตามระยะเวลา เพราะสมองมีพัฒนาการและเติบโตได้
หนังสือเล่มนี้จะขยายมุมมองและเจาะลึกชุดความคิดประเภทต่างๆ ของนักเรียนและครูผู้สอนในด้านพฤติกรรมที่เราจะเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับการสอนอย่างยิ่ง
ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้ จริงๆ มีเพียงประเด็นเดียวก็คือ “ทางเลือก” ดังแผนภาพทางด้านล่าง หากครูต้องการเห็นความสำเร็จของศิษย์เกิดขึ้นจริง ชุดความคิดที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตและพัฒนาตนเอง ย่อมเป็นทางเลือกที่สะท้อนว่าครูเชื่อมั่นว่าศิษย์จะเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญารวมทั้งความสามารถได้อย่างแน่นอน
7 ชุดความคิดสำคัญ พลิก “ความขาดแคลนของศิษย์” ให้เป็น “ขุมทรัพย์ของครู”
ชุดความคิดทั้ง 7 ประเภทที่จะเป็นต้นทางสู่การจัดการเรียนรู้ที่ดี พร้อมกลวิธีการสอนทรงประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับผลการวิจัยและง่ายต่อการนำไปปฏิบัติจริง ได้แก่
- ชุดความคิดสานสัมพันธ์ (relational mindset)
- ชุดความคิดแห่งความสำเร็จ (achievement mindset)
- ชุดความคิดเชิงบวก (positivity mindset)
- ชุดความคิดแห่งบรรยากาศการเรียนแบบบริบูรณ์ (rich classroom climate mindset)
- ชุดความคิดส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน (enrichment mindset)
- ชุดความคิดแบบมีส่วนร่วม (engagement mindset)
- ชุดความคิดการสำเร็จการศึกษา (graduation mindset)
สรุป 7 ชุดความคิดโดยสังเขป
- ชุดความคิดสานสัมพันธ์ มุ่งเน้นการพัฒนาสายสัมพันธ์และความเอาใจใส่ระหว่างครูกับนักเรียนเป็นรายคน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ช่วงท้ายคาบเรียน ไปจนถึงชีวิตที่บ้านหรือชุมชนของนักเรียน ซึ่งทั้งหมดจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมครู พฤติกรรมนักเรียน และจะย้อนกลับมาเปลี่ยนครูอีกรอบหนึ่ง
- ชุดความคิดแห่งความสำเร็จ มีงานวิจัยยืนยันว่า “ความฉลาดเป็นสิ่งที่ฝึกได้” (สร้างและพัฒนาชุดความคิดแบบเติบโต) ครูชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายให้ใหญ่หรือท้าทายในระดับที่ไม่น่าจะบรรลุได้ เพื่อท้าทายความมานะพยายาม โดยมีครูคอยหนุนจนบรรลุความสำเร็จ
- ชุดความคิดเชิงบวก เสนอแนะให้ครูนำความรู้ทางชีววิทยาเกี่ยวกับสมองและสารสื่อประสาทมาสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละช่วง กระตุ้นความหวังและการมองโลกแง่ดี รวมถึงมีวิธีจัดการความคิดเชิงลบอย่างสร้างสรรค์
- ชุดความคิดแห่งบรรยากาศการเรียนแบบบริบูรณ์ ยาวิเศษที่จะแก้ข้อด้อยของนักเรียนจากครอบครัวขาดแคลนคือความรู้สึกว่าตนได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อนๆ สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศบริบูรณ์คือปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ครูต้องช่วยเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับชีวิตในอนาคตของนักเรียน รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดและแสดงออก เพื่อสร้างความมั่นใจและการยอมรับ
- ชุดความคิดส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน ประกอบด้วยผลกระทบของความยากจนต่อการเรียนรู้ จัดการตัวถ่วงการเรียนรู้ เสนอแนวทางยกระดับการเรียนรู้และเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนกลุ่มขาดแคลน
- ชุดความคิดแบบมีส่วนร่วม สร้างสภาพกายและใจที่พร้อมเรียน ครูสามารถนำนักเรียนเข้าสู่สภาพพร้อมเรียน มีแรงบันดาลใจในการเรียน แจกแจงเครื่องมือสร้างความเป็นพวกพ้อง และสร้างให้ชั้นเรียนเป็นชุมชนของผู้เรียนที่เอาจริงเอาจัง
- ชุดความคิดการสำเร็จการศึกษา ในสหรัฐฯ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีโรงเรียนในเขตยากจนนับร้อยหรืออาจถึงพันโรงเรียนที่ติดเกณฑ์โรงเรียนที่มีผลดำเนินการดีเด่น ความแตกต่างนี้อยู่ที่ครูผู้มุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของศิษย์อย่างไม่ท้อถอย หนุนเสริมด้วยศิลปะ ดนตรี และพลศึกษา รวมถึงการเตรียมพร้อมนักเรียนสู่ระดับอุดมศึกษาหรือเข้าสู่อาชีพ
ไม่ว่าศิษย์จะขาดแคลนเพียงใด ครูต้องมุ่งมั่นดำเนินการให้ศิษย์ได้รับผลตามเป้าหมายหลักทั้ง 7 ประการนี้
ทักษะการคิดฝึกได้!
นักเรียนยากจนขาดแคลนมักมาโรงเรียนพร้อมกับความบกพร่องด้านการเรียนรู้ อันได้แก่ ความบกพร่องด้านการมีสมาธิจดจ่อความสนใจ ด้านความเร็วในการประมวลข้อมูล และด้านความจำ ซึ่งข้อบกพร่องเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะการคิด แต่ครูที่เอาใจใส่สามารถช่วยเหลือศิษย์ได้
ทักษะการคิดเป็นทักษะที่ครอบคลุมกว้างขวาง นักเรียนที่มีทักษะการคิดดีนั้นจะแสดงออกดังต่อไปนี้ มีทักษะในการเอาใจใส่ สามารถบังคับตนเองให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ จัดการสาระความรู้โดยการประเมิน จัดกระบวนการ จัดลำดับความสำคัญ เรียงลำดับสาระ จำสาระไว้ในความจำใช้งาน เปรียบเทียบและทำความเข้าใจความต่าง ขยายความ และใช้ความจำใช้งานในขณะเดียวกันกับการจัดการสาระ และท้ายที่สุดรอคอยผล จนถึงคราวที่ต้องการคำตอบ จะเห็นว่าทักษะการคิดมีทักษะย่อยจำนวนมาก เป็นเหตุผลที่ทำให้การสอนทักษะการเรียนรู้เป็นสิ่งท้าทายมาก
หน้าที่ของครูคือเอื้อให้นักเรียนได้ฝึกวิธีคิดที่ถูกต้องต่อสถานการณ์นั้นๆ การคิดที่ดีที่สุดคือคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งหมายถึงการคิดที่มีประสิทธิผล มีความใหม่ ไม่เลียนแบบใคร และมีแนวทางของตนเอง
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนเอาชนะอคติที่พบบ่อยได้ อย่างเช่นการมองด้านเดียว ละเลยข้อมูลหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของตน คิดเป็นเหตุเป็นผลไม่เป็น และลืมหาข้อมูลหลักฐาน
นักเรียนต้องฝึกคิดเอง ไม่ลอกเลียนจากสถานการณ์ที่คล้ายคลึง ไม่รอพึ่งการบอกใบ้จากครูหรือผู้อื่น ย้ำว่าทักษะการคิดเป็นสิ่งที่ฝึกได้
สัมผัสการเรียนรู้ สู่การเปลี่ยนแปลง
หมายเหตุ: บางส่วนจากคำนำผู้เขียน สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช และ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ตีความหนังสือ Poor Students, Rich Teaching
หนังสือเล่มนี้สื่อเรื่องราวในห้องเรียน ในโรงเรียน และสื่อชุดความคิดของคนในวงการศึกษาที่ผิดพลาดมานานในวงการศึกษาไทย อย่างน้อยก็ 70 ปี หนังสือเล่มนี้จึงน่าจะเป็นเครื่องมือเปลี่ยนชุดความคิด หรือเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการศึกษาในลักษณะของการเปลี่ยนระดับรากฐานที่เรียกว่า transformation โดยอาจเรียกว่า educational practice transformation
หนังสือเล่มนี้จึงน่าจะเป็นตำรามาตรฐานสำหรับใช้ในการผลิตครูและการพัฒนาครูประจำการเพื่อสร้างชุดความคิดที่ถูกต้องและทรงคุณค่าในการธำรงศักดิ์ศรีครู รวมทั้งเพื่อสร้างทักษะที่ลุ่มลึก แต่ปฏิบัติได้ง่าย ในการทำหน้าที่ครูอย่างมีความสุข มีความท้าทาย และมีความสำเร็จในชีวิตการเป็นครู
ครูที่ฝึกปฏิบัติตามหนังสือเล่มนี้จะเป็น “ครูนักเรียนรู้” ที่เยี่ยมยอด หากครูท่านใดปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นต่อเนื่องไปสักสองสามปี ท่านจะได้สัมผัสการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (transformative learning) ด้วยตัวท่านเอง ทั้งที่เป็นคุณค่าต่อชีวิตส่วนตัวและต่อชีวิตความเป็นครู ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจละเมียดละไม มีทักษะหลากหลายด้านที่เป็นทักษะแห่งชีวิตที่ดี เป็นครูที่มีผลงานโดดเด่น และที่สำคัญยิ่งมีผลงานเด่นโดยที่ทำงานได้ง่ายขึ้น ใช้เวลาน้อยลง
อาจกล่าวได้ว่าชุดความคิดและวิธีการนำเสนอในหนังสือเล่มนี้เป็นการประยุกต์วิธีปลุกสมองให้พร้อมเรียน ควบคู่ไปกับการเรียนซึ่งนักเรียนทุกคนจะได้รับการปลุก ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่ขาดแคลนหรือไม่ก็ตาม เชื่อว่านักเรียนทุกคนจะได้ประโยชน์จากครูที่ดำเนินการตามที่แนะนำในหนังสือเล่มนี้