“โรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมี ในสมองไม่สมดุล” คือคำอธิบายโรคซึมเศร้าที่เ ราได้ยินจนคุ้นหู ปัญหาอยู่ในหัวของคุณเอง เป็นเรื่องของสารเคมีที่ไม่ สมดุล เครื่องจักรของคุณเสียและต้ องซ่อม และดูเหมือนวิธีรักษาที่ใช้ กันในปัจจุบันก็มักจะมุ่งไป ที่การให้ยาต้านซึมเศร้าเพื ่อปรับระดับสารเคมีในสมอง
แต่โรคซึมเศร้าและโรควิตกกั งวลมีสาเหตุที่ซับซ้อนกว่าน ั้น โยฮันน์ ฮารี ผู้เขียนหนังสือ โ ลกซึมเศร้า: คลายปมโรคแห่งยุคสมัย แ ละทางเลือกใหม่ในการเยียวยา ได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาสาเ หตุที่แท้จริงของโรคซึมเศร้ าที่ไม่ใช่เพียงแค่ “โรค” แต่เป็นเรื่องของ “โลก” ที่เราใช้ชีวิตอยู่
นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปว่ าโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังว ลมีสาเหตุหลักๆ สามประการ ได้แก่ สาเหตุทางชีววิทยา ทางจิตวิทยา และทางสังคม ซึ่งโยฮันน์ได้สกัดแก่นสาระ จากการพูดคุยกับนักวิชาการแ ละศึกษาค้นคว้างานวิจัยจำนว นมาก แล้วสรุปรวมเป็นสาเหตุ 9 ประการที่นำไปสู่โรคซึมเศร้ า ได้แก่
1. การตัดขาดจากงานที่มีความหม าย
2. การตัดขาดจากผู้อื่น
3. การตัดขาดจากค่านิยมที่มีคว ามหมาย
4. การตัดขาดจากเรื่องสะเทือนใ จในวัยเด็ก
5. การตัดขาดจากสถานะและการได้ รับเกียรติ
6. การตัดขาดจากธรรมชาติ
7. การตัดขาดจากอนาคตที่สดใสหร ือมั่นคง
8. บทบาทของยีน
9. การเปลี่ยนแปลงในสมอง
1. การตัดขาดจากงานที่มีความหม าย
ลองสำรวจความรู้สึกของคุณเอ งสิ จุดที่คุณรู้สึกแย่ที่สุดใน การทำงาน และอาจจะในชีวิตด้วยคืออะไร ? หลายครั้งคำตอบก็คือ เวลาที่คุณรู้สึกว่าควบคุมอ ะไรไม่ได้เลย
ไมเคิล มาร์มอต (Michael Marmot) ได้ศึกษาปัจจัยในการทำงานที ่ส่งผลต่อโรคซึมเศร้า โดยมุ่งศึกษากลุ่มข้าราชการ ชาวอังกฤษ และพบว่า ถ้าคุณทำงานราชการและมีอำนา จควบคุมการทำงานมากกว่า คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึ มเศร้าหรือมีความทุกข์ทางอารมณ์ระดับรุนแ รงน้อยกว่าคนที่ได้รับอัตรา ค่าจ้างเท่ากัน มีสถานะพอๆ กัน อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน แต่มีอำนาจควบคุมงานน้อยกว่ า
ไมเคิลกล่าวว่า “ความเครียดที่เลวร้ายที่สุ ดของคนเราไม่ใช่การต้องแบกร ับภาระมากมายมหาศาล แต่คือการต้องทนกับ “งานที่ ซ้ำซาก น่าเบื่อ บั่นทอนจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้พนักงานค่อยๆ ตายไปทีละนิดในแต่ละวันที่ม าทำงาน เพราะงานที่ทำไม่ได้เชื่อมโ ยงกับส่วนเสี้ยวใดๆ ของตัวตนพวกเขาเลย”
การปิดกั้นศักยภาพนั้นเป็นห ัวใจของสุขภาพที่ย่ำแย่ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
2. การตัดขาดจากผู้อื่น
ในงานวิจัยของจอห์น กาโชปโป (John Cacioppo) ผู้วิจัยพากลุ่มคนเหงาเข้าเ ครื่องสแกนสมอง ผลปรากฏว่าคนเหล่านี้จะเห็น อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ภา ยใน 150 มิลลิวินาที ในขณะที่กลุ่มคนที่คบหาสมาค มกับผู้อื่นต้องใช้เวลามากเ ป็นสองเท่าหรือ 300 มิลลิวินาที จึงจะสังเกตเห็นอันตรายแบบเ ดียวกัน
ความเหงาอันยาวนานเป็นสาเหต ุให้คุณปิดกั้นตัวเองจากสัง คม และระแวงสงสัยปฏิสัมพันธ์ทา งสังคมใดๆ มากขึ้น คุณจะระแวดระวังผิดปกติ เริ่มมีแนวโน้มจะถือสาสิ่งท ี่คนอื่นไม่ได้เจตนา และเกิดอาการกลัวคนแปลกหน้า คุณเริ่มกลัวสิ่งที่ตัวคุณเ องต้องการที่สุด พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่า ผลกระทบแบบก้อนหิมะ (snowball effect) เพราะการตัดขาดจากสังคมจะหม ุนวนทับถมจนทำให้คนเรายิ่งต ัดขาดจากผู้คนมากกว่าเดิม
ในวิวัฒนาการของมนุษย์ บรรพบุรุษของเราเอาตัวรอดมา ได้ก็เพราะอาศัยความร่วมแรง ร่วมใจ ในสภาวะธรรมชาติที่ต้องแบ่ง ปันอาหารและช่วยกันล้มสัตว์ ใหญ่ สายสัมพันธ์และความร่วมมือท างสังคมเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้ องบังคับ ธรรมชาติก็คือความสัมพันธ์
เมื่อคนเราอยู่คนเดียว คุณอ่อนแอและสู้สัตว์ผู้ล่า ไม่ได้ ถ้าคุณล้มป่วยจะไม่มีใครคอย พยาบาลดูแล และคนอื่นในเผ่าก็จะอ่อนแอล งด้วยเช่นกันเมื่อไม่มีคุณ ถูกแล้วละที่คุณจะรู้สึกแย่ เมื่ออยู่โดดเดี่ยว มันเป็นสัญญาณอันเร่งด่วนที ่ร่างกายและสมองส่งออกมาเพื ่อให้คุณกลับเข้ากลุ่ม
สัญชาตญาณทุกอย่างของมนุษย์ พัฒนาขึ้นไม่ใช่เพื่อชีวิตข องตัวเอง แต่เพื่อชีวิตในกลุ่มหรือเผ ่าต่างหาก มนุษย์เราจำเป็นต้องอยู่เป็ นกลุ่มพอๆ กับที่ผึ้งจำเป็นต้องมีรังน ั่นเอง
3. การตัดขาดจากค่านิยมที่มีคว ามหมาย
ทิม แคสเซอร์ (Tim Kasser) ทำงานวิจัยเพื่อศึกษาความสั มพันธ์ระหว่างการให้คุณค่าก ับวัตถุและอาการซึมเศร้า ผลปรากฏว่ากลุ่มคนทีคิดว่าค วามสุขมาจากการสะสมข้าวของแ ละการมีสถานะเหนือกว่าคนอื่ นจะมีระดับความซึมเศร้าและค วามวิตกกังวลสูงกว่ามาก
นอกจากนี้ เมื่อศึกษาความแตกต่างระหว่ างการบรรลุแรงจูงใจภายนอก เช่น การเลื่อนตำแหน่ง มีอพาร์ตเมนต์กว้างขึ้น กับแรงจูงใจภายใน เช่น การทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีขึ้น เป็นลูกชายที่อ่อนโยนมากขึ้ น หรือเล่นเปียโนได้เก่งขึ้น ผลปรากฏว่าคนที่บรรลุเป้าหม ายภายในของตนเองนั้นมีความส ุขขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังมีอาการซึมเศร้าและว ิตกกังวลน้อยลงด้วย
พอคุณกลายเป็นพวกวัตถุนิยมส ุดโต่ง คุณจะสงสัยเกี่ยวกับตัวเองต ลอดเวลาว่าคนอื่นตัดสินคุณอ ย่างไร มันบีบให้คุณจดจ่อกับความคิ ดเห็นที่คนอื่นมีต่อคุณ และถ้อยคำที่เขาชื่นชมคุณ จากนั้นคุณก็จะโดนขังอยู่กั บความกังวลว่าคนอื่นจะมองคุ ณอย่างไร และคนอื่นจะให้รางวัลตอบแทน ที่คุณอยากได้หรือเปล่า นั่นเป็นภาระหนักอึ้งที่คุณ ต้องแบกไว้ แทนที่จะได้ก้าวเดินอย่างอิ สระและทำสิ่งที่คุณอยากทำได ้ตามใจ หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนที่รั กคุณในแบบที่คุณเป็น
4. การตัดขาดจากเรื่องสะเทือนใ จในวัยเด็ก
ประสบการณ์เลวร้ายทุกประเภท ที่คุณเผชิญในวัยเด็ก เช่น การถูกทารุณทางเพศ ถูกทารุณทางอารมณ์ หรือโดนปล่อยปละละเลย ล้วนส่งผลให้คุณมีแนวโน้มที่ ่จะเป็นโรคซึมเศร้าในวัยผู้ ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
ในวัยเด็ก เมื่อคนเราต้องเผชิญบางอย่า งที่กระทบจิตใจอย่างรุนแรง คุณมักจะคิดว่ามันเป็นความผ ิดของคุณ นั่นเพราะตอนคุณเป็นเด็ก คุณแทบจะไม่มีอำนาจในการเปล ี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่เลย คุณย้ายหนีไปหรือห้ามใครทำร ้ายคุณไม่ได้
คุณจึงมีทางเลือกสองทาง คุณอาจยอมรับกับตัวเองว่าคุ ณไม่มีอำนาจ คุณจะถูกทำร้ายจนเจ็บหนักเม ื่อไรก็ไม่รู้ และคุณทำอะไรไม่ได้เลย หรือคุณจะบอกตัวเองว่าเรื่อ งนี้เป็นความผิดของคุณก็ได้ ซึ่งถ้าทำแบบนั้น คุณจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น อย่างน้อยก็ในใจคุณเอง เพราะถ้ามันเป็นความผิดของค ุณ คุณย่อมควบคุมมันได้
แต่ความคิดแบบนี้มีราคาที่ต ้องจ่าย ถ้าคุณเคยเป็นคนที่ต้องรับผ ิดชอบต่อความเจ็บปวด สักวันคุณจะคิดว่าคุณสมควรโ ดนเช่นนั้น คนที่คิดว่าตัวเองสมควรได้ร ับบาดแผลตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ย่อมคิดว ่าตนไม่สมควรได้รับอะไรมากม าย
เราไม่ควรใช้ชีวิตแบบนี้ นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ผิดพลาดจ ากการโทษตัวเอง แม้มันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ คุณฝ่าฟันเอาตัวรอดมาได้ในช ่วงชีวิตวัยเยาว์ก็ตาม
5. การตัดขาดจากสถานะและการได้ รับเกียรติ
โรคซึมเศร้าเชื่อมโยงกับสถา นะในสังคมมากอย่างคาดไม่ถึง งานวิจัยพบว่า ยิ่งสังคมเหลื่อมล้ำเท่าไร อาการป่วยทางจิตสารพัดรูปแบ บก็ยิ่งแพร่หลายขึ้นเท่านั้ น สังคมที่เหลื่อมล้ำสูงเช่นใ นสหรัฐอเมริกาจะพบระดับความ ทุกข์ในจิตใจมากกว่า และสังคมที่เท่าเทียมมากอย่ างนอร์เวย์จะมีระดับความทุก ข์ในจิตใจน้อยกว่า
เมื่อคุณอยู่ในสังคมที่มีช่ องว่างของรายได้และสถานะถ่า งกว้าง มันจะสร้างความรู้สึกว่า “บางคนดูมีความสำคัญเป็นพิเ ศษ ขณะที่คนอื่นๆ ไม่สำคัญแม้แต่น้อย”
สภาพเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลกระท บเฉพาะคนในระดับฐานล่างของส ังคมเท่านั้น เพราะในสังคมที่มีความเหลื่ อมล้ำรุนแรง ทุกคนต่างต้องคำนึงถึงสถานะ ของตนเองอย่างมาก ฉันจะรักษาตำแหน่งของฉันไว้ ได้ไหม ใครกำลังเลื่อยขาเก้าอี้ฉัน ฉันจะร่วงไปไกลไหม เวลาที่ความเหลื่อมล้ำขยายต ัว และสถานการณ์บีบบังคับให้คุ ณต้องถามคำถามเหล่านี้ ความเครียดในชีวิตจะยิ่งเพิ ่มพูนขึ้นทุกที
นี่เป็นปัญหาร่วมกันของเราท ุกคน และมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากล ักษณะสังคมแบบที่เราอาศัยอย ู่นี่เอง
6. การตัดขาดจากธรรมชาติ
เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าป ัญหาสุขภาพจิตทุกรูปแบบในเม ืองใหญ่นั้นหนักหนาสาหัสกว่ าในชนบทพอสมควร รวมถึงโรคที่รุนแรงอย่างโรค จิตเภทด้วย
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งจา กมหาวิทยาลัยเอสเซกซ์ในประเ ทศอังกฤษได้จัดทำงานวิจัยที ่ศึกษาคำถามนี้ โดยติดตามสุขภาพจิตของผู้คน กว่า 5,000 ครัวเรือนเป็นเวลากว่าสามปี พวกเขาเจาะจงพิจารณาครอบครั วสองกลุ่ม ได้แก่ คนที่เคยอยู่ในชนบทอันเขียว ชอุ่มแล้วย้ายเข้าเมือง และคนที่ย้ายออกจากเมืองไปย ังชนบทอันเชียวชอุ่ม
ผลการวิจัยออกมาชัดเจน คนที่ย้ายไปอาศัยในเขตพื้นท ี่สีเขียวมีอาการซึมเศร้าลด ลงอย่างมาก ส่วนคนที่ย้ายออกจากพื้นที่ สีเขียวมีอาการซึมเศร้าเพิ่ มขึ้นอย่างรุนแรง
ในทำนองเดียวกัน เมื่อศึกษาเปรียบเทียบคนที่ วิ่งบนลู่วิ่งในยิมกับคนที่ วิ่งท่ามกลางธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการวิ่ง ทั้งสองแบบทำให้อาการซึมเศร ้าลดลง แต่คนที่วิ่งท่ามกลางธรรมชา ติลดลงได้มากกว่า
เวลาที่เราออกมาใช้ชีวิตท่า มกลางธรรมชาติ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือความรู้สึกเกรงขาม เวลาที่คุณอยู่ท่ามกลางภูมิ ทัศน์ธรรมชาติ คุณจะรู้สึกว่าตัวคุณและควา มกังวลต่างๆ ของคุณนั้นเล็กน้อยเหลือเกิ น และโลกเราช่างแสนกว้างใหญ่ไ พศาล ความรู้สึกเช่นนี้สามารถลดท อนอัตตาของมนุษย์ให้หดลงเหล ือขนาดที่ควบคุมได้ และรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ ่งของเครือข่ายอันยิ่งใหญ่นี้
7. การตัดขาดจากอนาคตที่สดใสหร ือมั่นคง
อาการอย่างหนึ่งที่ผู้ป่วยโ รคซึมเศร้าและวิตกกังวลเป็น กันมากคือ โรคนี้มักจะทำให้พวกเขารู้ส ึกเหมือนกลายเป็นคน “มองการณ์ใกล้” อย่างสุดโต่งผิดปกติ เมื่ออาการกำเริบ พวกเขาอาจจะคิดไปไกลได้แค่ส องสามชั่วโมงข้างหน้าเท่านั ้น คิดเพียงว่ามันจะยาวนานแค่ไ หนและเจ็บปวดเพียงใด ราวกับว่าอนาคตหายวับไปกับต า
งานวิจัยของไมเคิล แชนด์เลอร์ (Michael Chandler) ศึกษาวิจัยเด็กสองกลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งมีอาการซึมเศร ้าและคิดฆ่าตัวตาย เขาให้เด็กๆ อ่านหนังสือการ์ตูนที่ดัดแป ลงจากนิยาย แล้วถามเด็กๆ ว่า พวกเขาคิดว่าตัวละครเหล่านั ้นจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ผลปรากฏว่า สิ่งที่แทบจะเป็นเอกลักษณ์ข องกลุ่มที่คิดฆ่าตัวตายก็คื อ ทุกคนไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่ง จะเป็นคนเดิมไปตลอดได้อย่าง ไร เด็กที่ซึมเศร้ามากๆ สามารถตอบคำถามอื่นๆ ทุกข้อได้ตามปกติ แต่เมื่อมาถึงคำถามจำพวกว่า ตัวเขาหรือคนอื่นจะเป็นอย่า งไรในอนาคต พวกเขาจะดูสับสนงุนงง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
การสูญเสียอนาคตผลักดันให้อ ัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้น เพราะความรู้สึกว่ามีอนาคตท ี่ดีรออยู่นั้นคือสิ่งที่คอ ยปกป้องคุณ ถ้าวันนี้ชีวิตมันแย่ คุณก็ยังคิดได้ว่า ถึงตอนนี้ฉันจะเจ็บปวด แต่มันจะไม่เจ็บปวดชั่วกาลน าน
ทว่าเมื่อมีคนพรากอนาคตของค ุณไป คุณจะรู้สึกเหมือนความเจ็บป วดนั้นไม่มีวันจางหายตลอดกา ล
8. บทบาทของยีน
โรคซึมเศร้าอยู่ในยีนของเรา มากแค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งซึ ่งนำโดยนักพันธุศาสตร์ชื่อ แอฟชาลอม แคสปี (Avshalom Caspi) ได้ทำงานวิจัยโดยติดตามเด็ก ในนิวซีแลนด์จำนวน 1,000 คนเป็นเวลา 25 ปี ตั้งแต่ยังแบเบาะจนเติบโตเป ็นผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพยายามหา คำตอบคือ ยีนตัวไหนที่ทำให้คุณมีโอกา สเป็นโรคซึมเศร้าง่ายขึ้น
หลังจากเฝ้าศึกษาอยู่หลายปี พวกเขาก็ค้นพบข้อมูลที่น่าต กใจ นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่าการแป รผันของยีนชนิดหนึ่งที่มีชื ่อว่า 5-HTT นั้นเชื่อมโยงกับการเป็นโรค ซึมเศร้าจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ยีนของคุณนั้นถูกกระตุ้นโดย สิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณ สามารถเปิดหรือปิดสวิตช์ยีน ได้ ถ้าคุณมีรูปแบบบางชนิดของยี น 5-HTT ความเสี่ยงที่คุณจะเป็นโรคซ ึมเศร้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณ เผชิญเหตุการณ์ตึงเครียดสุด ขีดหรือเคยเจอเรื่องสะเทือน ใจในวัยเด็กอย่างรุนแรง
หลักฐานในปัจจุบันบ่งชี้ว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้ เกิดโรคซึมเศร้าและโรควิตกก ังวลนั้นมีอยู่จริง แต่จำเป็นต้องมีตัวกระตุ้นท างสิ่งแวดล้อมหรือจิตวิทยาด ้วย ยีนของคุณจึงจะสามารถเร่งปั จจัยเหล่านั้นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่สา มารถก่อให้เกิดโรคได้ด้วยตั วเอง
9. การเปลี่ยนแปลงในสมอง
ลองจินตนาการว่าคุณต้องเผชิ ญสาเหตุของโรคซึมเศร้าและโร ควิตกกังวลอย่างน้อยหนึ่งปร ะการจากหลากหลายประการที่เล ่ามาก่อนหน้านี้ เมื่อกระบวนการนี้เริ่มขึ้น จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในสมอง
คุณจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอ ย่างรุนแรงเป็นเวลานาน สมองของคุณเลยเข้าใจว่านับแ ต่นี้คุณจำเป็นต้องอยู่รอดใ นสภาวะดังกล่าว จึงเป็นไปได้ที่มันจะเริ่มก ำจัดจุดประสานประสาทที่เชื่ อมโยงกับสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขและเพลิดเพลิน และทำให้จุดประสานประสาทที่ เกี่ยวข้องกับความกลัวและคว ามสิ้นหวังแข็งแรงขึ้น
นั่นคือเหตุผลข้อหนึ่งว่าทำ ไมคุณมักจะรู้สึกว่าถูกตรึง ให้อยู่ในสภาวะซึมเศร้าหรือ วิตกกังวล แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของค วามเจ็บปวดจะผ่านไปแล้วก็ตา ม
อย่างไรก็ตาม การที่หมอบอกคนไข้โรคซึมเศร ้าว่า “ตอนนี้สมองของคุณพังอยู่นะ เพราะมันไม่เหมือนสมองปกติ” นั้นอาจไม่ตรงตามจริงเสียที เดียว เพราะเรารู้ว่าสมองเชื่อมต่ อใยประสาทใหม่ตลอดเวลา สรีรวิทยาดำเนินควบคู่กับจิ ตวิทยาเสมอ ทั้งความทุกข์ต่างๆ ที่มีสาเหตุจากโลกภายนอก รวมถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน สมองนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น “ควบคู่กัน”
เบื้องหลังแต่ละสาเหตุเหล่า นี้ยังมีรายละเอียดมากมายที ่เกี่ยวพันกับโรคซึมเศร้าทั ้งในแง่วิถีชีวิต สังคม จิตวิทยา และชีววิทยา รองรับด้วยงานวิจัยหลากหลาย ที่อ่านสนุกและมีผลลัพธ์ชวน ทึ่ง ซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองที่คุณม ีต่อโรคซึมเศร้าไปจากเดิม
เพราะภาวะซึมเศร้าไม่ใช่แค่ เรื่องของ “โรค” ที่ต้องใช้ยารักษา แต่เกี่ยวพันกับ “โลก” และสังคมของเราทุกคน
อ่านเรื่องราวการเดินทางเพื ่อหาคำตอบของ “โรค” และ “โลก” ซึมเศร้าอย่างเจาะลึกได้ในหนังสือ
โลกซึมเศร้า: คลายปมโรคแห่งยุคสมัย และทางเลือกใหม่ในการเยียวย า
(Lost Connections: Uncovering the Real Causes of Depression – and the Unexpected Solutions)
Johann Hari เขียน
ดลพร รุจิรวงศ์ แปล
อ่านตัวอย่างหนังสือและรายละเอียดได้ที่นี่