
ศรัชญ์ศรณ์ ศรประสิทธิ์ เรื่อง
จิรัชยา หงษ์แก้ว ภาพ
ในงาน Learning Fest Bangkok ซึ่งอุทยานการเรียนรู้ TK Park เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม Hook Learning และสำนักพิมพ์ kidscape ร่วมจัดกิจกรรมเวิร์กช็อป “พลังแห่งการอ่านออกเสียง” ชักชวนคุณพ่อคุณแม่พาลูกๆ มาฟังนิทานแสนสนุกจาก “ครูเบิร์ด คิดแจ่ม” นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ นักเล่านิทาน และ “ครูแต้ว” ระพีพรรณ พัฒนาเวช บรรณาธิการหนังสือสำหรับเด็ก (อิสระ) พร้อมกันนั้นก็ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการอ่านออกเสียงกับ “หมอแพมชวนอ่าน” เพื่อปรับมุมมองที่มีต่อหนังสือเด็ก และทำให้การอ่านเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากกว่าเดิม
ประเด็นยากๆ และภาษาวรรณกรรม

ครูแต้วและครูเบิร์ดเปิดประเด็นด้วยการชูหนังสือภาพเล่มคลาสสิก แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ ซึ่งว่าด้วยความรักและความตาย จากนั้นก็เล่าประสบการณ์ว่า เด็กคนหนึ่งในวัยสามขวบต้องเผชิญประสบการณ์สูญเสียคุณปู่ทวดและคุณย่าทวดในเวลาไล่เลี่ยกัน เด็กได้ยินคำว่า “ตาย” เป็นครั้งแรก พ่อแม่ก็รู้ว่าเด็กเผชิญกับความเศร้าแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงไปปรึกษาจิตแพทย์ นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร แนะนำให้พ่อแม่ลองอ่านหนังสือภาพให้ลูกฟัง
ในหนังสือ แมวน้อยร้อยหมื่นชาติ ครูแต้วใช้คำว่า แมวตายทุกหน้า … ตายจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
“แมวตายทุกหน้า ชาติหนึ่งเป็นแมวของพระราชา ชาติหนึ่งเป็นแมวของหัวขโมย เกิดชาติใหม่ก็ไปเป็นแมวของคนโน้นคนนี้ เด็กรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดามาก แมวน้อยตายจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว” – ครูแต้ว
นอกจากได้เรียนคำว่า “ตาย” และได้รู้ว่านี่เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นได้แล้ว เด็กๆ ยังได้สิ่งที่ครูแต้วเรียกว่า “ภาษาวรรณกรรม” ด้วย
“ชาติหนึ่ง แมวน้อยเคยเป็นแมวของยายเฒ่า ยายเฒ่าแก่หงำเหงอะอุ้มร่างแมวน้อยที่แก่หง่อมจนตาย” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เรียกว่าเป็นภาษาวรรณกรรมหรือภาษาเขียนซึ่งเด็กๆ จะไม่ได้ยินในชีวิตประจำวัน จากประโยคว่า “พระอาทิตย์ตก” แต่หากเราหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง ประโยคจะเปลี่ยนเป็น “ดวงตะวันลับฟ้า” หรือ “อาทิตย์อัสดง” ได้ยินครั้งแรกอาจจะต่อการเข้าใจ แต่บริบทของเนื้อหาจะเข้ามาช่วยเด็กๆ เรื่องความหมายที่แท้จริง
ทั้งนี้ เด็กอาจรู้สึกไม่ชอบหนังสือบางเล่ม “เล่มนี้เศร้าเกินไป ไม่เอา” นั่นไม่เป็นอะไรเลย เราก็แค่เก็บขึ้นชั้นไว้ก่อน รอให้ถึงวันเวลาที่เหมาะสม

เด็กๆ ดูหนังสืออย่างคนใน ส่วนผู้ใหญ่ดูอย่างคนนอก
ครูแต้วเริ่มอ่านออกเสียงหนังสือภาพสัญชาติไทยอีกเล่ม
ลูกแมวซื้อมันแกว เป็นงานของชีวัน วิสาสะ ว่าด้วยคุณแม่แมวขอให้ลูกแมวออกไปซื้อมันแกวที่ตลาด ระหว่างทำภารกิจ ลูกแมวจะได้พบเจอกับเรื่องราวมากมายที่ลงท้ายด้วยสระ “แ-ว” เช่น ร้านขายแห้ว ต้องต่อแถว ขายหมดแล้ว เมื่อเราเว้นช่องว่างให้เด็กๆ ได้คาดเดาและลองทายจากบริบทว่า แต่ละประโยค ลูกแมวจะเจอกับ “แ-ว” ใดอีก เรียกความสนใจและการมีส่วนร่วมของเด็กๆ ทั้งห้องได้อยู่หมัดทีเดียว

นี่คือวิธีที่เด็กๆ มองเห็นหนังสือ เด็กคาดเดาว่าคำต่อไปจะเป็นคำว่าอะไรโดยอาศัยรูปแบบสระ “แ-ว” โดยอาศัยภาพวาดบริบทในเรื่องเป็นคำใบ้ พอตอบถูก ก็ชื่นใจ ใจฟู ทั้งนี้ ข้อควรระวังคือหากเด็กตอบแล้วไม่ตรงกับหนังสือ ต้องจำไว้ว่าไม่มีผิด อย่าตัดสินว่าเขาผิด
“ในห้องเรียน เมื่อไหร่ที่เราตัดสินว่าเด็กผิด เด็กจะหยุดให้ความร่วมมือ พอห้องเรียนเงียบ ครูก็มาบ่นว่าถามอะไรก็ไม่เคยตอบ”
– ครูแต้ว
หนังสือภาพบางเล่มอาจมี pattern ในแบบที่ไม่ใช่ภาษา สระ หรือตัวสะกด แต่เป็นพล็อตเรื่องที่เกิดเป็น pattern ซ้ำๆ จนเด็กคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหน้าต่อไปได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีข้อดีที่สำคัญมากๆ คือ ให้พื้นที่ที่วิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหวให้ไม่ได้ หนังสือภาพเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำงานกับหนังสือ หนังสือภาพไม่ได้ให้รายละเอียดที่หมดจดชัดเจน แต่ช่องว่างนี้เองที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในหัวเด็ก — ระหว่างบรรทัด ระหว่างหน้าต่อหน้า เรามองไม่เห็น แต่เด็กคิดเป็นภาพอยู่ในหัวเขา
ครูแต้วยกคำพูดของปรมาจารย์หนังสือเด็กชาวญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ อาจารย์ทาดาชิ มัตสุอิ (Tadashi Matsui) “เด็กๆ ดูหนังสืออย่างคนใน ส่วนผู้ใหญ่ดูอย่างคนนอก”
ตาเป็นเพียงอวัยวะรับภาพ สมองต่างหากที่มองเห็น

หมอแพม พ.ญ.ปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี เปิดประเด็นแรกด้วยคำถามสามัญประจำบ้านที่คุณพ่อคุณแม่ต่างสงสัย นั่นคือเราควรให้ลูกอ่านหนังสือที่ตัวละครเป็นเด็กนิสัยเสียหรือไม่
“แค่ลองนึกว่าถ้าหนังสือเด็กเป็นนิทานในอุดมคติ จะกลายเป็นธรรมะเลย”
กล่าวคือ หนังสือภาพควรต้องสนุกไว้ก่อน ไม่ต้องดีเกินไป ไม่ต้องสอนเยอะ ไม่งั้นอาจกลายเป็นละครคุณธรรมได้
ก่อนเข้าร่วมกิจกรรม คุณหมอให้โจทย์พ่อแม่ที่มาเวิร์กช็อปเลือกรูปมาล่วงหน้า คุณชอบภาพใดจาก 20 ภาพที่ทีมงานส่งไป
หลายภาพไม่ถูกเลือก บางภาพก็ได้รับความนิยมระดับที่มีคนเลือกถึงราว 1 ใน 4 เหตุผลที่เลือกนั้นแตกต่างหลากหลาย “ชอบเพราะภาพมีการเคลื่อนไหวและมีทั้งคนและสัตว์ใช้เวลาด้วยกัน” “ชอบแสงและชอบต้นหญ้าที่พื้น” “ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่มากแล้วมาอยู่ตรงหน้าต่อหน้าเรา เราเคยไปที่แบบนี้แล้วชอบมาก” “ชอบที่ภาพนี้มีสุนัข อยากเลี้ยงมานานแล้ว” ทว่าล้วนเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเรา สิ่งที่เรารู้จัก สิ่งที่ผูกพัน
หมอแพมต้องการบอกว่าประสบการณ์สำคัญอย่างยิ่งต่อการคิดและมองเห็นของเรา เมื่อเราเห็นภาพภาพหนึ่ง เราพยายามดึงประสบการณ์เก่าของเรา เมื่อเห็นสิ่งที่เราไม่รู้จัก มนุษย์เราพยายามให้เหตุผลเสมอ เราเอาเหตุผลนั้นมาจากไหน ก็มาจากประสบการณ์เก่าของเรานั่นเอง
“ดวงตาเราเป็นแค่อวัยวะรับข้อมูล สมองต่างหากที่มองเห็น สิ่งที่ตาเห็นจึงอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะเราตีความสิ่งที่เห็นด้วยประสบการณ์ของเรา”
– หมอแพมชวนอ่าน
นอกจากนี้ คุณหมอยังชวนคิดด้วยว่า โดยทั่วไปสมองคนเราขี้เกียจ จึงชอบเผลอเปิดระบบ autopilot ทิ้งไว้ ไม่ได้ใช้ EF ตลอดเวลา เพราะสมองใช้พลังงานเยอะมาก ร่างกายเรามีอวัยวะเป็นหมื่นๆ ชิ้น แต่ 20 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมดที่สูบฉีดจากหัวใจเดินทางไปเลี้ยงสมอง อีกหมื่นอวัยวะต้องไปแบ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือกันเอง พอสมองใช้พลังงานมากขนาดนี้ จึงต้องเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยเปิดระบบ autopilot ฉะนั้นแล้ว การตั้งค่าเริ่มต้นให้ดีจนเป็นนิสัย จะช่วยให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยลงมาก
กฎของสมองคือ Use it or Lose it
หมอแพมยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของสมองและวิธีสร้างสมอง
“เมื่อแรกเกิด เครือข่ายสมองของเด็กอาจจะยังไม่มาก ออกจากท้องแม่ได้มาหน่อยเดียว จากนั้นก็เริ่มเรียนรู้จากทุกสิ่งที่เห็น ที่สัมผัส ที่ได้รับการโอบกอด ที่ได้ยิน ค่อยๆ สร้างเครือข่ายสมอง พอเก้าเดือนเริ่มฉลาด เริ่มรู้จักแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เริ่มเอามือปัดข้าว หยิบของ เริ่มเม้มปาก พอสองขวบ เขาเก่งที่สุดในโลก ทำได้ทุกอย่าง อยากปีนต้นไม้ ฉันบินได้ ฉันเก่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เส้นประสาทเยอะมาก”

ทว่าโครงสร้างสมองตอนสองขวบนั้น ส่วนใหญ่เป็นสมองด้านอารมณ์ แต่สมองส่วนเหตุผลยังเล็กอยู่ สมองส่วนเหตุผลโตช้ากว่า ใช้เวลาในการค่อยๆ พัฒนาโดยใช้เวลานานถึง 20-25 ปี
“กฎของสมองคือ ‘use it or lose it’ กล่าวคือ สมองจะผ่านกระบวนการ synaptic pruning อันเป็นการตัดแต่งกิ่งก้านของเซลล์สมอง อันไหนไม่ใช้ ตัดทิ้ง อันไหนใช้ ฉันจะสร้างให้เป็นถนนใหญ่ๆ จะได้แข็งแรง กระบวนการนี้มีสองช่วง คือช่วงปฐมวัย 90% ของโครงสร้างสมองสร้างขึ้นตอน 1-5 ขวบ นี่คือเวลาสำคัญที่สุด ส่วนในช่วงผู้ใหญ่ก็ยังมีการตัดแต่งและเรียนรู้แต่ใช้พลังงานเยอะกว่ามาก”
– หมอแพมชวนอ่าน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เด็กเกิดมาเป็นสมาชิกสังคม เขามาเรียนรู้เอาข้างนอก จึงกล่าวได้ว่าโครงสร้างสมองของมนุษย์เกิดจากการผสมผสานของพันธุกรรมกับประสบการณ์ที่ได้จากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก
“ไม่ว่าจะลูกยาจกหรือลูกคหบดี แรกเกิดมาตาใสเหมือนกันหมด อยู่ดีๆ ทำไมเด็กบางคนโตมาตบเพื่อน เด็กบางคนคิดไปโอลิมปิกตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ทั้งหมดอยู่ที่การเลี้ยงดู สิ่งนี้คือโครงสร้างสมอง” – หมอแพม
สร้างสมองด้วยคำศัพท์และภาษา
คำศัพท์เป็นโครงสร้างสำคัญที่สุดในการเรียนรู้และส่งต่อความรู้ เมื่อไรที่เด็กเรียนรู้คำศัพท์ กราฟการเรียนรู้จะพุ่งขึ้นแบบติดจรวด เพราะคนเราคิดเป็นภาษา เมื่อรู้ภาษา เด็กจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าและควบคุมตัวเองได้ดีกว่า
“มีแค่สองวิธีการเท่านั้นที่จะบรรจุศัพท์เข้าสมอง นั่นคือ การมองเห็นและการได้ยิน”
– หมอแพมชวนอ่าน
เมื่อเด็กได้ฟังมากๆ เข้า เขาจะจดจำ เรียนรู้ แยกแยะ และเลียนแบบ ฟังคุณแม่คุณพ่อเล่านิทานทุกวัน เขาก็คิดว่าตัวเองอ่านได้ ก็จะเรียนรู้และเลียนแบบโดยการพูดราวกับอ่านหนังสือออก จากนั้นก็จะพยายามอ่าน พออ่านได้ก็อยากจะเล่าโดยการเขียน
นอกจากนี้ หมอแพมกล่าวถึงประเด็นคำศัพท์ยากๆ หรือที่เรียกว่า “ภาษาวรรณกรรม” สอดคล้องกับครูเบิร์ดและครูแต้ว ว่าคนเราจะเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของคำหนึ่งๆ ได้ ก็ด้วยการฟังคำนั้นบ่อยๆ มีผู้คนรอบตัวใช้คำนั้น และได้เห็นคำนั้นในบริบทที่มีความหมาย ซึ่งหนังสือตอบโจทย์ทั้งสามข้อนี้ เช่น หนังสือภาพสามารถเขียนให้เห็นบริบทของ “แสงอรุณรุ่งที่ฉาบไปทั่วตึก” “อาทิตย์อัสดงฉาบทอระยิบระยับ” “ตะวันลับฟ้า” ได้

หมอแพมปิดท้ายด้วยการอ่านออกเสียง เจ้าเพนกวินหลงทาง หนังสือภาพจากปลายปากกาโอลิเวอร์ เจฟเฟอร์ส (Oliver Jeffers) ที่เล่าเรื่องเด็กชายเจอเพนกวินตัวหนึ่งยืนหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้าน จึงคิดเอาว่ามันหลงทาง แล้วภารกิจพาเจ้าเพนกวินกลับบ้านก็เริ่มขึ้น…
เจ้าเพนกวินหลงทาง สะกดความสนใจจากเด็กๆ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ทั้งห้องได้เช่นกัน และหนังสือเล่มนี้ก็เช่นเดียวกับหนังสือหลายเล่มที่มีช่องว่างระหว่างบรรทัดให้เด็กได้ใช้ประสบการณ์เดิมของตัวเองมาตีความ เด็กๆ อาจจะตีความเพนกวินไปอย่างหนึ่ง พ่อแม่ที่มีประสบการณ์อีกแบบก็อาจจะอนุมานไปอีกทาง เหมือนที่หมอแพมทิ้งท้ายว่าหนังสือภาพบางเล่มไม่เพียงทำงานกับเด็กๆ แต่ทำงานกับความคิดและความรู้สึกพ่อแม่ด้วย
พื้นที่ระหว่างบรรทัดคือพื้นที่สำหรับความคิด จินตนาการ และประสบการณ์
ก่อนกลับบ้าน ครูเบิร์ดขอทิ้งทวน อ่านหนังสือภาพ มองใกล้ มองไกล นี่ใครกันนะ ของซิลเวีย โบแรนโด (Sylvia Borando) ครูเบิร์ดเริ่มจากการแจกอุปกรณ์ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมกับการอ่านหนังสือเล่มนี้ คู่พี่น้องผู้ชายได้รับกรับสำหรับให้จังหวะและเพิ่มความตื่นเต้นแก่เรื่องราว และเด็กที่เหลือ บ้างก็ได้พู่สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน ซึ่งนัดแนะกันไว้ว่าจะโบกสะบัดพร้อมกันเมื่อถึงหน้าเฉลย
มองใกล้ มองไกล นี่ใครกันนะ เป็นหนังสือที่เล่นกับระยะการมองเห็น รูปร่าง และสี หน้าแรกจะซูมในระยะใกล้มากจนเราดูไม่ออกว่านี่ตัวอะไร หน้าถัดไปจะมองไกลออกมาหน่อย ทำให้เราพอเห็นเค้าของสัตว์ตัวนั้นทว่าก็ยังตัดสินไม่ได้ จนหน้าที่สาม มุมมองภาพจะถอยออกมาจนเห็นภาพรวมสัตว์ทั้งตัว

ครูเบิร์ดเปิดหน้าแรก ถาม “มองใกล้มองไกล นี่ใครกันนะ” ทุกสายตาในห้องนั้นจับไปที่หนังสือในมือครู ภาพหน้าแรกที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนชี้ให้เห็นเพียงสีและรายละเอียดเล็กน้อยของสัตว์ชนิดนั้นๆ คู่พี่น้องเคาะกรับในมือเป็นจังหวะตามที่ตกลงกันไว้ เด็กๆ ต่างช่วยกันทายว่าสัตว์ในหนังสือคือตัวอะไร แทบอดใจไม่ไหวที่อยากให้ครูเปิดหน้าต่อไปเร็วๆ
“มองใกล้มองไกล นี่ใครกันนะ” ครูเบิร์ดยังถามเมื่อเปิดหน้าต่อไป ภาพที่เห็นเริ่มซูมออกมาให้เห็นภาพรวมมากขึ้นอีกหน่อย เด็กๆ เริ่มตัดชอยส์ที่ดูไม่เข้าเค้า ส่งเสียงคาดเดาคำตอบที่จะปรากฏในหน้าต่อไปอย่างจดจ่อ
“เฉลย!” เสียงครูเบิร์ดกังวาน เด็กๆ ใช้เวลารับภาพในหน้าเฉลยแค่ชั่วอึดใจ แล้วตะโกนคำตอบออกมาพร้อมกัน “จระเข้” จากนั้น พู่หลากสีที่แต่ละคนถือไว้ก็ชูสะบัดพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะครึกครื้น ทายถูกก็ดีใจ ทายผิดก็ยังสนุกและตลกได้
ครูก้า กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพัฒนาการเด็ก เคยเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้น่าสนใจว่า “การใช้ตัวหนังสืออย่างประหยัด หรือไม่ใช้เลย ช่วยเปิดพื้นที่ให้เด็กได้วิเคราะห์ภาพและเชื่อมโยงเรื่องราวเองจากจินตนาการผสมผสานกับประสบการณ์เดิม จนเป็นเรื่องราวสุดพิเศษที่มีความหมายเฉพาะตน ยืดหยุ่น และไม่ตายตัว มองใกล้ มองไกล นี่ใครกันนะ เป็นหนังสือภาพที่ท้าทายและทำให้เด็กสนุกกับการดึงความรู้เดิมเกี่ยวกับรูปร่างและสีมาใช้คาดเดาคำตอบ ซึ่งจะค่อยๆ เผยออกมาจากการมองในมิติที่ไกลขึ้น ชี้ชวนให้เด็กๆ รู้จักการมองทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ในหลากหลายมิติและมีมุมมองที่กว้างขึ้น”
นี่แหละคือเสน่ห์ของหนังสือภาพ นั่นคือมีพื้นที่ระหว่างบรรทัดให้เด็กได้คิด มีพื้นที่ระหว่างแต่ละหน้ากระดาษให้เด็กได้ใช้จินตนาการ มีพื้นที่แห่งความไม่ชัดเจนตายตัวที่ให้เด็กได้หยิบประสบการณ์เก่ามาตีความเป็นการเรียนรู้ของตัวเอง


