ชีวิตที่ดีและประโยชน์สุขของส่วนรวม คือส่วนหนึ่งของการสร้าง “ความสุข” หรือ “ลุกกะ” ในภาษาเดนมาร์กให้เกิดขึ้นจริง
ในเล่ม ลุกกะ: วิถีความสุขจากทุกมุมโลก มีไอเดียหลากหลายที่จะขยายขอบเขตการสร้างความสุขของคุณออกไปอย่างไม่สิ้นสุด ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปดูกันเลย

เสียภาษี = ได้ความสุข

“ชาวเดนมาร์กจ่ายภาษีแพงอันดับต้นๆ ของโลกเลยนะ แล้วทำไมพวกเขาจึงมีความสุขนักล่ะ”
เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีอัตราภาษีสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกจริงๆ นั่นละ รายได้เฉลี่ยในเดนมาร์กอยู่ที่ราว 39,000 ยูโรต่อปี และชาวเดนมาร์กทั่วไปเสียภาษีเงินได้ราว 45 เปอร์เซ็นต์ มิหนำซ้ำถ้าคุณมีรายได้มากกว่า 61,500 ยูโรต่อปี คุณจะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมจากเพดานภาษีนี้ โดยคิดเป็นอัตรา 52 เปอร์เซ็นต์เลยเชียว
อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าชาวเดนมาร์กไม่ได้มีความสุข “แม้ว่า” ต้องเสียภาษีแพงลิบ แต่มีความสุข “เพราะว่า” ต้องเสียภาษีแพงลิบต่างหาก และชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่ก็คงเห็นด้วย
ผลสำรวจของแกลลัปที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2014 ระบุว่า เกือบ 9 ใน 10 คนที่อาศัยอยู่ในเดนมาร์กบอกว่ายินดีเสียภาษี สิ่งสำคัญคือเรารู้ว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการมีรถคันใหญ่กว่า แต่มาจากการได้รู้ว่าทุกคนที่เรารู้จักและรักจะมีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูในยามยาก
สิ่งที่ดำเนินไปด้วยดีในกลุ่มประเทศนอร์ดิกคือ เราเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตที่ดีกับประโยชน์สุขของส่วนรวม เราไม่ได้เสียภาษี แต่กำลังซื้อคุณภาพชีวิตต่างหาก เรากำลังลงทุนไปกับชุมชนของเรายังไงล่ะ

มหานครแห่งความสุข
ทุกวันนี้เมืองต่างๆ มุ่งพัฒนาฐานะการเงินและเทคโนโลยีให้ล้ำหน้าและสะดวกสบาย เราเห็นรถยนต์ส่วนตัวแล่นขวักไขว่เต็มท้องถนน แต่กีเยร์โม เปญาโลซา อดีตเทศมนตรีด้านสวนสาธารณะ กีฬา และนันทนาการประจำกรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย เห็นว่ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่านั้น
“เมืองจะประสบความสำเร็จไม่ใช่เมื่อมีฐานะมั่งคั่ง แต่เมื่อชาวเมืองมีความสุข การสร้างเมืองให้น่าขี่จักรยานและน่าเดินแสดงถึงการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เรากำลังบอกผู้คนว่า ‘คุณเป็นคนสำคัญ ไม่ใช่เพราะคุณร่ำรวย แต่เพราะคุณคือมนุษย์’ ถ้าผู้อื่นปฏิบัติต่อเราในฐานะคนพิเศษ หรือกระทั่งเคารพเยี่ยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็จะประพฤติตัวแบบนั้น
เราจำเป็นต้องเดินเช่นเดียวกับที่นกจำเป็นต้องบิน การสร้างพื้นที่สาธารณะเป็นหนทางหนึ่งที่จะพาเราไปสู่สังคมซึ่งไม่เพียงเท่าเทียมกันมากขึ้น แต่ยังมีความสุขมากขึ้นอย่างมหาศาลอีกด้วย
ประเทศพัฒนาแล้วไม่ใช่ที่ที่คนจนมีรถขับ แต่เป็นที่ที่คนรวยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เป็นที่ที่คนรวยเดินเท้าและปั่นจักรยาน เราควรสร้างเมืองที่คนรวยกับคนจนมาพบกันอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะในสวนสาธารณะ บนทางเท้า หรือในระบบขนส่งมวลชน
ประเด็นก็คือ พื้นที่สาธารณะดีๆ อย่างเช่นสวนสาธารณะสวยๆ ทางจักรยาน และถนนที่คนเดินได้ จะทำหน้าที่เหมือนเครื่องปั่นส่วนผสมทางสังคม เป็นตัวสร้างความเท่าเทียมในเมืองและสังคมของเรา และนี่เองคือสิ่งที่จะนำไปสู่ความสุขของชาวเมืองทุกคน

งานหรือชีวิต ทำไมต้องเลือก?
เราต่างเคยชินกับการทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อรอคอยให้วันหยุดมาถึง แต่การใช้ชีวิตแบบนี้ดีจริงหรือไม่ ถึงเวลาที่เราควรทบทวนสมดุลระหว่างงานกับชีวิตแล้วหรือยัง
เหตุใดเราจึงต้องเฝ้ารอวันหยุดราชการเพื่อจะได้หยุดยาว ในเมื่อวันหยุดประจำปีที่เราเลือกใช้ได้อย่างอิสรเสรีคือสวัสดิการที่เราควรได้รับ แทนที่จะต้องมาเบียดเสียดแย่งกันกินแย่งกันใช้พร้อมกับประชาชนทั่วประเทศในวันหยุดราชการ ตัวเลข 6 วันต่อปีซึ่งเป็นจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีขั้นต่ำตามกฎหมายแรงงานนั้นช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จนเราต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน
ในเดนมาร์ก ลูกจ้างทุกคนมีวันหยุดแบบได้รับค่าจ้างอย่างน้อยห้าสัปดาห์ต่อปี นั่นทำให้ชาวเดนมาร์กเป็นชาติที่รักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตด้านอื่นๆ ได้ดีที่สุดชาติหนึ่งในโลกตามผลสำรวจของโออีซีดี ชั่วโมงทำงานต่อปีโดยเฉลี่ยต่อคนงานหนึ่งคนอยู่ที่ 1,457 ชั่วโมงในเดนมาร์ก เทียบกับ 1,674 ชั่วโมงในสหราชอาณาจักร 1,790 ในสหรัฐอเมริกา และค่าเฉลี่ย 1,766 ชั่วโมงของโออีซีดี
ที่ทำงานของชาวเดนมาร์กหลังห้าโมงเย็นมีสภาพเหมือนห้องเก็บศพ ถ้าคุณทำงานในวันสุดสัปดาห์ ชาวเดนมาร์กจะสงสัยว่าคุณเป็นคนบ้าที่กำลังแอบทำโครงการลับ ชาวเดนมาร์กให้คุณค่ากับเวลาว่างอย่างไม่ปิดบัง ทั้งยังให้คุณค่ากับเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง พวกเขาออกจากที่ทำงานตอนสี่หรือห้าโมงเย็น โดยไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรเลย
นอกจากนั้นงานของชาวเดนมาร์กยังยืดหยุ่นมากด้วย พวกเขาสามารถทำงานที่บ้านหรือเลือกเวลาเริ่มงานด้วยตัวเอง เพราะการทำงานให้ทันกำหนดส่งและเข้าประชุมตรงเวลานั้นสำคัญกว่าเรื่องที่ว่าคุณทำงานเมื่อไรหรือที่ไหน
สมดุลระหว่างงานกับชีวิตย่อมนำไปสู่ความสุข อันเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างเสาะแสวงหา เช่นเดียวกับการเสียภาษีและได้ทราบว่าเงินภาษีของเราจะมีส่วนในการพัฒนาเมือง พัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง
เพราะ “ลุกกะ” ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในใจเราเท่านั้น สภาพแวดล้อมของเมืองที่เราอยู่ ที่ที่เราทำงาน ตลอดจนประเทศของเราก็ต้องการความสุขไม่ต่างจากเรา และเป็นเราอีกนั่นเองที่จะทำให้ความสุขเหล่านั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วแผ่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด