บ.ก.ขอเล่า | สร้างโรงเรียนให้เป็นรัง

บ.ก. ก้อง อนวัช อรรถจินดา

“ฉันขอมอบคู่มือเล่มใหม่นี้ไว้เป็นแนวทางสำหรับการใส่ใจในแผลใจเพื่อนักเรียนของคุณและครอบครัว หนังสือเล่มนี้มีไว้เพื่อนักเรียน ผู้ปกครอง นักการศึกษา ผู้ให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพจิต โค้ช บุคลากรสายสนับสนุน นักบริหาร และทุกคนที่มีแรงปรารถนาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”

คำกล่าวนี้ของคริสทิน ฟาน มาร์เทอร์ เซาเออร์ส หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ สร้างโรงเรียนให้เป็น ‘รัง’ เล่มนี้จับใจฉันมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นครู ครูแนะแนว หรือผู้บริหารโรงเรียน ได้ตระหนักถึงแผลใจของนักเรียนตั้งแต่ประถมถึงมัธยมปลาย และนำมาตรการต่างๆ มาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนโรงเรียนให้เป็น “รัง” ที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเรียนรู้ แต่เพราะแผลใจเกิดขึ้นโดยไม่เลือกปฏิบัติ อีกมิติสำคัญของหนังสือเล่มนี้ก็คือผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองของนักเรียนหรือบุคคลทั่วไป ล้วนนำบทเรียนและแนวคิดต่างๆ ไปปรับใช้กับผู้คนมากมายที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันได้ แนวคิดต่อไปนี้จับใจฉันมากเป็นพิเศษเมื่อในการดูแลตัวเองและช่วยเหลือคนรอบข้างในชีวิตเรา 

แนวคิดหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่าทรงพลังและพยายามนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเอง ก็คือการมองให้ออกว่าตัวเราและคนรอบข้างกำลังอยู่ในสมองชั้นบน (สมองใช้ส่วนที่เน้นการคิดและใช้เหตุผล) หรือสมองชั้นล่าง (สมองใช้ส่วนที่ออกแบบมาเพื่อการเอาตัวรอด) การที่คนเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ตกไปอยู่ในสมองชั้นล่าง เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะแผลใจในอดีต เครียด หิว หรือแค่เหนื่อย ก็ทำให้เราเสียการควบคุมตัวเองและอาจส่งผลเสียต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

ดังนั้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำทั้งในโรงเรียนและที่ทำงาน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็เสนอแนวทางหลายอย่างที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น การปรับความคิดและคำพูดต่อกันและกันจากเชิงลบไปยังเชิงบวก เช่นแทนที่จะพูดกับเพื่อนที่ทำงานว่า “เธอไม่มีวันทำสิ่งนี้ได้ดีหรอก” ลองพูดว่า “วันนี้เธอลองตั้งใจทำงานนี้มั้ย เดี๋ยวฉันช่วย” นี่เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมั่นใจและพร้อมจะเรียนรู้ไปด้วยกัน

อีกแนวคิดที่ปรับมุมมองของฉันจากการทำงานกับหนังสือเล่มนี้คือการมองพฤติกรรมเป็นการแสดงออกถึงความต้องการ การที่คนเรามีพฤติกรรมบางอย่างอาจเป็นวิธีสื่อสารว่ามีเรื่องบางอย่างที่คนคนนั้นต้องการ แต่ยังไม่มีใครมาช่วยตอบสนอง แทนที่เราจะตัดสินว่าคนที่มีพฤติกรรมบางอย่าง เช่นการเรียกร้องความสนใจหรือการเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร มีนิสัยไม่พึงประสงค์ ลองมองว่าเขาอาจร้องขอความช่วยเหลือให้ช่วยเติมเต็มความต้องการ เขาคนนั้นอาจต้องการคนช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยกับสภาพแวดล้อมหรืออยากเชื่อมต่อกับใครสักคนที่ไว้ใจได้ ฉะนั้น เมื่อเห็นเพื่อนหรือคนที่เรารักมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อคนรอบข้าง ลองหาคำตอบว่าเขาต้องการอะไรกัน จะช่วยให้เราวางแผนช่วยเหลือเขาได้ดีมากขึ้น 

ประเด็นสุดท้ายที่ฉันชอบในหนังสือเล่มนี้คือการใส่ใจผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราดูแลตัวเองให้มีสุขภาวะที่ดีทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ ในบทสุดท้ายของหนังสือ ผู้เขียนได้ฝากคำท้าให้ดำเนินกิจวัตร 9 อย่างเป็นเวลา 28 วันเพื่อบำรุงสมองสุขภาพดีขึ้น และนำไปสู่สร้างสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต โดยกิจวัตรที่ฉันชอบที่สุดคือการแสดงความขอบคุณบางอย่างทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือคนรอบข้าง ซึ่งทำให้ฉันเห็นว่าในหนึ่งวัน มีสิ่งที่ควรขอบคุณมากมายที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็น และนั่นทำให้ฉันเห็นคุณค่าในสิ่งเล็กๆ ของชีวิตมากขึ้น

 ไม่ว่าคุณจะเป็นครูหรือเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตปกติ เราย่อมต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ที่มีแผลใจ แนวคิดและวิธีการช่วยเหลือในหนังสือเล่มนี้จึงใช้ได้มากกว่าแค่กับเด็กๆ ในโรงเรียน แต่รวมถึงผู้ใหญ่ทั้งหลายในชีวิตของเราด้วย หากเราช่วยกันปรับเปลี่ยนตัวเองและสภาพแวดล้อมของเราด้วยแนวคิดต่างๆ ข้างต้น สังคมของเราก็จะกลายเป็น “รัง” ที่โอบอุ้มให้ทุกคนได้เติบโตอย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะมนุษย์

 

สร้างโรงเรียนให้เป็น ‘รัง’

(Relationship, Responsibility, and Regulation)

Kristin Van Marter Souers with Pete Hall เขียน

พชร สูงเด่น แปล

อ่านตัวอย่างเนื้อหาและสั่งซื้อได้ที่นี่