
ในแวดวงการศึกษา คำว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ กลายเป็นคำยอดนิยมที่ถูกพูดถึงกันมากในช่วงทศวรรษให้หลังมานี้ เพราะอย่างที่เรารู้กันดี การเรียนรู้ที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งกายและใจ ยังมินับว่าเด็กคนหนึ่งต้องใช้เวลาในช่วงประกอบร่างสร้างตัวตนมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ที่โรงเรียน จึงไม่แปลกที่นักจัดการศึกษาต่างพยายามหาแนวทางที่จะทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยได้จริง
อย่างไรก็ดี การสร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กแต่ละคนล้วนมีตัวตนและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งในกรณีของเด็กที่มีแผลใจ (trauma) การสร้างพื้นที่ปลอดภัยก็อาจจะซับซ้อนยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลายครั้งที่คำว่าพื้นที่ปลอดภัยฟังดูเป็นนามธรรมและยากที่จะนิยามได้
นี่จึงเป็นที่มาของงานเสวนาสาธารณะ “สร้างโรงเรียนให้เป็น ‘รัง’: บ่มเพาะพื้นที่เรียนรู้เชิงบวกที่พร้อมดูแลแผลใจเด็กทุกคน” ที่ต่อยอดมาจากหนังสือชื่อเดียวกัน ร่วมกันเสวนาว่าด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน เพื่อเป็นก้าวแรกในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้เชิงบวกที่ใส่ใจและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ร่วมสนทนาโดย แพทย์หญิงศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ และผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาระบบเสริมสร้างทักษะชีวิตและการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอาชีวศึกษา สำหรับนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) อธิษฐาน์ คงทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการเรียนรู้ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูขอสอน และดำเนินรายการโดย ฉัตรบดินทร์ อาจหาญ กระบวนกรและนักออกแบบการเรียนรู้
ร่วมนิยามพื้นที่ปลอดภัยในหลากมุมมอง
ถ้าพูดให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ศุทราแบ่งปันความหมายของพื้นที่ปลอดภัยออกเป็น 3 ระดับ ไล่เรียงตั้งแต่ระดับที่เป็นนามธรรมสุดอย่างพื้นที่ปลอดภัยทางกายภาพ คือสถานที่ที่ปลอดภัย ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ดี ไม่บาดเจ็บและไม่อดอยาก ไปจนถึงพื้นที่ปลอดภัยจากการรับรู้ ที่ต้องระวังการรับรู้สื่อของเด็กไม่ให้ต้องรับรู้ข่าวสารหรือเห็นภาพที่สะเทือนใจ และระดับนามธรรมอย่างความปลอดภัยทางจิตใจ ที่มีความละเอียดอ่อนและไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เป็นความรู้สึกที่ครอบคลุมทั้งความรู้สึกปลอดภัยและความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่ง ไม่แปลกแยก
ขณะที่ในมุมของคนหน้างานอย่างธนวรรธน์แบ่งปันว่า พื้นที่ปลอดภัยเป็นคีย์เวิร์ดคำแรกๆ ที่พูดคุยกันในช่วงเปิดเทอมใหม่ และต่อยอดไปจากความหมายของศุทรา โดยธนวรรธน์แจกแจงให้เห็นพื้นที่ปลอดภัยใน 4 มิติ คือมิติร่างกาย คือความปลอดภัยทั้งต่อร่างกายและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มิติอารมณ์ ที่ดูอารมณ์ทั้งทางด้านบวกและลบที่จะเข้ามากระตุ้นเด็ก มิติสังคม คือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ทั้งครูและเพื่อนร่วมชั้น และ มิติสติปัญญา ที่ธนวรรธน์ชี้ว่าเป็นจุดสำคัญ คือตั้งธงให้เด็กกล้าคิดกล้าตอบเป็นความคาดหวังร่วมกัน แต่ถ้าเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัยก็สามารถบอกได้ทุกเมื่อ
“มันคือการมีความคิดที่อิสระเสรี เราจะทำให้เขารู้ว่า ตอบผิดก็ไม่เป็นไร” ธนวรรธน์กล่าว พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า เด็กต่างคนมีความแตกต่างกัน การคาดหวังว่าเด็กจะรู้สึกปลอดภัยและกล้าแสดงออกในห้องเรียนอย่างเต็มที่ตั้งแต่ครั้งแรกๆ อาจจะกลายเป็นการโยนความคาดหวังให้เด็กมากเกินไป จึงเป็นหน้าที่ของครูที่ต้องคอยบริหารและทำให้เด็กก้าวไปพร้อมกัน
ด้านอธิษฐาน์มองภาพที่ใหญ่ไปกว่านั้น คือระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่ความปลอดภัยจะครอบคลุมทั้งในระดับปัจเจก สภาพแวดล้อม และเชิงระบบ และไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน แต่ครอบคลุมถึงผู้บริหารกับครู ครูกับครู และครูกับผู้ปกครอง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย
ประเด็นสำคัญคือ ครูจะส่งต่อความรู้สึกปลอดภัยให้เด็กได้ เมื่อครูรู้สึกปลอดภัยก่อนจากกติกาหรือกลไกในโรงเรียนที่เอื้อให้ครูสามารถเป็นตัวของตัวเองโดยที่ยังเคารพและเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่นได้ กล่าวคือถ้าเด็กทำพลาดและครูมีความมั่นคงเพียงพอ ครูจะสามารถรับมือได้โดยไม่ทำให้เด็กเกิดแผลใจ (trauma) และส่งผ่านความมั่นคงไปให้เด็กช่วยกันโอบอุ้มห้องเรียน
นอกจากครู อธิษฐาน์ชี้ว่าผู้ปกครองก็สำคัญ เพราะหากความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองไม่ดี จะทำให้ทำงานเป็นทีมยาก จึงควรมีกลไกที่เอื้อให้ทั้งสองฝ่ายได้พบกันและรู้ว่าต่างฝ่ายต่างต้องการผลักดันให้เด็กเติบโต เห็นเป้าหมายร่วมกัน จะทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยเชิงระบบและเติมเต็มการเรียนรู้ให้ผู้ปกครองได้
และภาพใหญ่ที่สุดที่ครอบคลุมทุกอย่างไว้คือกติกา หากเรามีฐานความเชื่อว่ามนุษย์มีความตั้งใจดีและอยากทำสิ่งดีๆ จะกลายเป็นการออกแบบกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย เป็นกฎกติกาที่ไม่ได้เน้นการจับผิด แต่สร้างให้เกิดการร่วมเรียนรู้ แก้ไข และหาทางออกร่วมกัน
การสร้างพื้นที่ปลอดภัย = การพัฒนาการเรียนรู้
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นจริงในสถานศึกษาหรือพื้นที่การเรียนรู้ของเด็ก เพราะความจริงแล้ว การเรียนรู้ต้องมาคู่กับความรู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้เสมอ ดังที่ศุทราชี้ให้เห็นว่า การสอนคือการทำงานกับสมองของเด็ก ถ้าเด็กมาโรงเรียนในสภาพที่เหนื่อยล้าหรือไม่รู้สึกปลอดภัย ก็จะยิ่งทำให้เขาไม่สามารถรับบทเรียนที่คุณครูเตรียมมาได้อย่างเต็มที่
สอดคล้องกับธนวรรธน์ที่ชี้ว่า การเรียนรู้และการเติบโตสัมพันธ์กับอารมณ์ความรู้สึกของเด็ก ความรู้สึกปลอดภัยจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเด็กได้เรียนรู้และลองผิดลองถูกในการทำอะไรสักอย่าง แต่หากมนุษย์รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะทำแล้วพวกเขาก็จะไม่ทำอะไรเลย ดังนั้น กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือการตระหนักว่า เรายังลุกได้หากทำอะไรผิดพลาดไปแล้ว และมีคนอยู่ข้างๆ เราเสมอ
“เมื่อก่อนผมดูแลกลุ่มเด็กที่ชอบทำกิจกรรมในโรงเรียน ก็จะมีคนมองว่าเด็กกลุ่มนี้ดูเป็นเด็กที่อาจจะไม่ค่อยโดดเด่นถ้าเทียบกับเด็กเก่งที่โดนแย่งตัวไปแข่งนั่นนี่ มีคนสงสัยว่าทำไมเด็กกลุ่มนี้ชอบอยู่กับผม ผมก็คิดนะว่า อาจจะเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าได้ทำอะไรบางอย่าง มีคุณค่า จาก no one เป็น someone ที่ทำได้หมดเลย เพราะการเป็น no one มันไม่เอื้อให้เราได้ทำอะไรหรอก”
“เราไม่จำเป็นต้องเอาใจเด็ก แต่ต้องไม่ใช่ครูที่ทำให้เด็กรู้สึกไม่เชื่อใจหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาอยู่ด้วย”
— ธนวรรธน์ สุวรรณปาล
ถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น คำว่า ‘เรียนรู้’ ของมนุษย์ไม่ได้ครอบคลุมแค่วิธีคิดหรือวิชาการ แต่รวมถึงประสบการณ์ที่ได้รับ และถ้าเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย สมองส่วนล่างที่เป็นสัญชาตญาณก็จะเข้ามาควบคุมบงการชีวิต ทำให้เด็กต่อต้าน ไม่รับรู้ หรือหาทางหนี อธิษฐาน์จึงชี้ให้เห็นว่า หากจะเติมอะไรให้เด็กจะต้องสร้างพื้นที่ให้พร้อมเสียก่อน เปรียบเสมือนการเติมดินเพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้อย่างงดงาม
นอกจากห้องเรียนแบบที่ศุทราและธนวรรธน์ยกตัวอย่างแล้ว อธิษฐาน์ยังขยายความไปถึงความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รู้ว่ามีคนรับฟังและมีพื้นที่ให้ได้ลองผิดลองถูกด้วย
สร้างอย่างไรให้พื้นที่ปลอดภัยเป็นของทุกคน
สำหรับศุทรา การสร้างพื้นที่ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ต่างกันออกไปสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย โดยหากเป็นเด็กอนุบาล อาจจะสร้างผ่านทางการเล่นสนุก หรือถ้าเป็นเด็กประถมศึกษา อาจขยับขยายไปถึงการทักทายด้วยชื่อ หรือเช็กอารมณ์ความรู้สึกในตอนเช้า สำหรับเด็กวัยรุ่นหรือเด็กมัธยมศึกษา อาจจะใช้วิธีการเช่นเดียวกับเด็กประถมได้ แต่หากเป็นเรื่องอ่อนไหวที่กระทบตัวบุคคล เช่น กลั่นแกล้ง ล้อเลียน ก็สร้างข้อตกลงให้ชัดว่าจะเป็นการพูดคุยเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น
“เราต้องสร้างกติกาหรือเงื่อนไขให้เด็กรู้ว่าต้องเคารพกัน จะล้อเลียนหรือแซวกันไม่ได้ อันนี้มีอิทธิพลมากที่จะปรับวิธีปฏิบัติของเด็กและทำให้เกิดความปลอดภัยตามมาได้”
— แพทย์หญิงศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์
ขณะที่ธนวรรธน์ชี้ให้เห็นประเด็นที่เรียบง่าย ทว่าทรงพลังที่สุดเช่นกัน นั่นคือการรับรู้ว่า ทั้งเด็กและครูต่างเป็นมนุษย์ และทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ว่าแต่ละคนมีประสบการณ์ ชุดคุณค่า และวิถีชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย สถานการณ์หนึ่งอาจจะรับรู้และมองไม่เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้เกิดการพูดคุยและรับฟังกัน แต่อย่าลืมว่า บางครั้งการใช้อำนาจก็เป็นสิ่งจำเป็นในกรณีที่เด็กบางคนมีพฤติกรรมที่กระทบคนอื่น แต่ต้องใช้ให้ถูกและมีการคุยกันอย่างละเอียดนอกรอบ เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกแย่
หนึ่งในโรงเรียนที่เป็นต้นแบบของกระบวนการจัดการเรียนรู้คือ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยอธิษฐาน์แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า สาธิต มธ. มีนโยบายร่วมกันในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียนและในหลายมิติ เปิดรับเพศที่หลากหลายและความเชื่อที่แตกต่าง รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองโดยที่ยังเคารพซึ่งกันและกัน โดยยกตัวอย่างการทำ self-reflection เพื่อให้นักเรียนได้สะท้อนว่าตนเองคิดอย่างไร หรือการมีโฮมรูมในทุกๆ เช้า ซึ่งสามารถเป็นพื้นที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรมเช็กอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงมีพื้นที่ให้เด็กได้ออกแบบการเรียนและกติกาการอยู่ร่วมกัน
ดังที่กล่าวไปว่า เด็กจะรู้สึกปลอดภัยต้องเริ่มจากการที่ครูรู้สึกปลอดภัยด้วย ดังนั้น สาธิต มธ. จึงเน้นการทำงานเป็นทีม โดย 1 ห้องเรียนจะมีครู 2 คนช่วยดูแลเด็กและออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงเปิดพื้นที่รับฟังกันและกัน การทำงานดังกล่าวยังขยายผลไปถึงบุคลากรทุกคนในโรงเรียน และการสร้างเครือข่ายผู้ปกครองเพื่อให้มีโอกาสได้ร่วมจัดกิจกรรมหรือพบปะกันด้วย
ในระดับที่ใหญ่ที่สุด สาธิต มธ. มี ‘ธรรมนูญนักเรียน’ ซึ่งมาจากการที่ครูและนักเรียนมีพื้นที่สร้างข้อตกลงร่วมกัน ทั้งระดับห้องเรียนไปจนถึงโรงเรียน และสามารถออกแบบกติกาได้เอง จนกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เชื่อมโยงกันและกันเอาไว้
ธนวรรธน์แชร์ความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า หากเป็นโรงเรียนอื่นที่อาจไม่ได้มีความพร้อมหรือทรัพยากรมากเท่าสาธิต มธ. จะทำอย่างไร โดยเขามองว่า การประชุมผู้ปกครองเป็นส่วนที่สำคัญมากในการเปิดเป็นพื้นที่ให้ได้รู้จักและพูดคุยกัน โดยมีครูช่วยเสริมให้ผู้ปกครองได้ไปสื่อสารกับลูกของตนเอง เปิดใจพูดคุยในหลายๆ เรื่องที่ผู้ปกครองกับเด็กอาจไม่เคยคุยกันมาก่อน เพื่อให้เห็นว่าทุกคนเป็นทีมเดียวกันและช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้ แต่โจทย์สำคัญอยู่ที่การเสริมพลัง (empower) ให้ทุกคนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ของตนเอง
ออกแบบและรักษาอย่างไรให้พื้นที่ปลอดภัยยั่งยืน
“ผมไม่ซื้อวิธีคิดแบบเริ่มตัวที่ตัวเองนะ เพราะถ้าเรายึดประโยชน์ของเด็กเป็นที่ตั้งจริงๆ เราอาจจะต้องมีระบบที่ให้ทุกคนมี mindset เพื่อเด็กจริงๆ และมองเขาเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับเรา” ธนวรรธน์กล่าวนำ พร้อมทั้งแบ่งปันประสบการณ์ว่า หากนักเรียนรู้สึกว่าห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ ควรจะกล้ามาคุยแบบ deep talk กับคุณครู รวมถึงในห้องเรียนสามารถพูดคุยและมีส่วนร่วมกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี พื้นที่ปลอดภัยไม่ได้หมายถึงความกล้าพูดและจะทำอะไรก็ได้ตามใจตนเอง ธนวรรธน์ชี้ว่า ในกรณีที่มีบางเหตุการณ์เกิดขึ้นและกระทบกับความรู้สึกของคนในห้องเรียน คุณครูควรสร้างพื้นที่ให้เด็กรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จากนั้นจึงพยายามทำให้เด็กๆ เข้าใจและไม่ส่งต่อสิ่งเหล่านี้ออกไป
สอดคล้องกับอธิษฐาน์ที่มองว่า ครูยังต้องมีอำนาจในฐานะครูอยู่เพื่อหยุดพฤติกรรมบางอย่างและทำให้ห้องเรียนส่วนรวมรู้สึกปลอดภัย ดังนั้น หากเจอพฤติกรรมที่ไม่น่ารักจากนักเรียน ครูอาจจะลองมองผ่านทะลุเรื่องพฤติกรรมไปดูสาเหตุลึกๆ ข้างใน เพื่อช่วยไม่ให้ครูด่วนตัดสินใจ ที่สำคัญคือ อย่าลืมหันกลับมาดูแลและสำรวจตัวเอง เพื่อให้ครูสามารถรับมือและคลี่คลายบางอย่างในใจของตนเองได้
ขณะที่ศุทรายังมองสอดคล้องกับอธิษฐาน์ว่า คุณครูต้องหันมาดูแลใส่ใจตนเอง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญคือต้องพูดถึงพฤติกรรม ไม่ใช่ตัวบุคคล เพราะหากเราตีตราเด็กคนใดในด้านลบไปแล้ว จะทำให้ทุกพฤติกรรมของเขาโดนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีไปหมด
“หลายพฤติกรรมของเด็ก เช่น การทำร้ายตนเองหรือพยายามฆ่าตัวตาย เป็นการสั่นสะเทือนและทำให้ครูกังวลมาก เป็นการสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้ครูเช่นกัน และจะทำให้ครูที่ยังไม่มั่นคงพอใช้สมองส่วนอารมณ์ในการตัดสินใจ ถ้าเป็นเช่นนี้ ครูต้องกลับมาดูแลตัวเองและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเรียนรู้ในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าวให้ได้”
นอกจากนี้ ศุทรายังมองว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่พอวัดความรู้สึกปลอดภัยของเด็กได้คือสุขภาวะทางอารมณ์ คือเด็กตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกอยากไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อน แต่ประเด็นสำคัญคือ เด็กแต่ละคนมีความอ่อนไหวและต้องการระดับการเอาใจใส่ไม่เท่ากัน เด็กบางกลุ่มจะสร้างสัมพันธภาพด้วยยาก จึงพาลทำให้ครูหรือแม้กระทั่งผู้ปกครองถอดใจและมองว่าเขามีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก ครูจึงมีหน้าที่ทำให้นักเรียนรู้ว่า ครูยังไม่หมดหวัง แต่จะยืนหยัดและช่วยเขาเสมอ
“ครูหลายคนที่พานักเรียนฟันฝ่ามาจนถึงเรียนจบมัธยมได้ ทั้งครูและเด็กจะจำกันได้ นี่คือการสร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นและสำคัญในชีวิตของคนๆ หนึ่งจริงๆ” ศุทรากล่าว พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า ให้ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่หมดหวัง ไม่เพิกเฉย และไม่ท้อถอย เป็นวิธีแรกๆ ที่จะช่วยประคับประคองนักเรียนได้
“ความรู้สึกปลอดภัยไม่ได้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราต้องไม่คาดหวังว่าคุยกันคลิกเดียวแล้วจะไว้ใจกันได้และรู้สึกดีเลย เพราะทุกอย่างมีจังหวะเวลา และความช้าเร็วของแต่ละคนไม่เท่ากัน”
— แพทย์หญิงศุทรา เอื้ออภิสิทธิ์วงศ์
เพื่อเป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่หายไปของระบบการศึกษาไทยให้สมบูรณ์ และเติมการศึกษาไทยให้เต็ม ในห้วงเวลาที่โลกเรียกร้องการยอมรับและการเคารพความแตกต่างหลากหลายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทดลองอ่านและสั่งซื้อหนังสือ สร้างโรงเรียนให้เป็น ‘รัง’
สร้างโรงเรียนให้เป็น ‘รัง’
(Relationship, Responsibility and Regulation: Trauma-Invested Practices for Fostering Resilient Learners)
Kristin Van Marter Souers & Pete Hall เขียน
พชร สูงเด่น แปล
อนวัช อรรถจินดา บรรณาธิการ
ยุทธภูมิ ปันฟอง ออกแบบปก




