หลักเจ็ดประการสู่ความเชื่อใจ “หลักการที่ 4: สร้างผู้เรียนที่รู้จักรับผิดชอบ”

ศรัชญ์ศรณ์ ศรประสิทธิ์ เรื่อง
นุชชา ประพิณ ภาพ

 

 

“เป้าหมายของเราคือผลักดันนักเรียนสู่กระบวนการพัฒนาการดูแลตัวเอง… ฉันบอกพวกเขาว่าอะไรคือข้อจำกัด อะไรได้รับอนุญาต อะไรไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกันเราก็พูดเรื่องความรับผิดชอบกันตลอดเวลา… ฉันต้องการให้พวกเขารู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในสถานการณ์ และเสียงของพวกเขามีคนรับฟังเมื่อเราตกลงกันเรื่องกฎเกณฑ์” – อันนิ โลวโกเมียส์ (Anni Loukomies) ครูประถมโรงเรียนฝึกสอนครูวีกกิ

เหตุนี้เอง นักเรียนประถมฟินแลนด์จึงมีสิทธิ์เดินทั่วตึกโดยไม่ต้องมีคุณครูคอยคุม สามารถหยิบงานไปนั่งทำที่ระเบียงทางเดินได้โดยไม่ต้องอยู่ในสายตาครู ใส่หูฟังฟังเพลงไปด้วยระหว่างทำโครงงานสหวิชา รวมถึงตรวจการบ้านคณิตศาสตร์ด้วยตัวเองตั้งแต่ชั้นป.1

ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ข้อตกลงที่ครูกับนักเรียนประถมมีร่วมกันคือ นักเรียนจะได้รับความเชื่อใจและอิสรภาพยืนยาวก็ต่อเมื่อแสดงให้ครูเห็นว่าพวกเขากำกับดูแลตัวเองได้ ในทางกลับกัน พวกเขาจะถูกริบความเชื่อใจและอิสรภาพคืนเมื่อใช้มันในทางที่ผิด

– “ถ้าครูเชื่อใจพวกเธอไม่ได้ ถ้าพวกเธอใช้ความเชื่อใจของครูในทางที่ผิด เราก็จะกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น” –

อาจฟังดูโหดร้ายสำหรับเด็กประถม แต่นี่เป็นบทเรียนแรกของกระบวนการสอนให้รู้จักรับผิดชอบ

กระนั้น อิสรภาพและการกำกับดูแลตัวเองของเด็กจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากครูไม่เป็นฝ่ายให้ “ความเชื่อใจ” ก่อน

หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงพื้นที่ปลอดภัยบ่อยครั้ง “หลักการที่ 4: สร้างผู้เรียนที่รู้จักรับผิดชอบ” จะเป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะเมื่อครูได้ลองมอบความเชื่อใจและเด็กได้ลองฝึกทักษะการกำกับดูแลตัวเองแล้ว ถ้าล้มเหลวก็ถอยหลังคนละก้าว… เท่านั้นเอง 😀

 

หลักการที่ 4: สร้างผู้เรียนที่รู้จักรับผิดชอบ

“เมื่อลูกศิษย์ของฉันเข้าเรียนชั้นเกรดหนึ่งครั้งแรก พวกเขาค่อนข้างจะต้องพึ่งพาฉันเพราะการดูแลตัวเองของพวกเขายังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราคือการผลักดันพวกเขาสู่กระบวนการพัฒนาการดูแลตนเอง และแน่นอนว่าในช่วงแรก ฉันจำเป็นต้องปรากฏตัวอยู่ทุกที่ทุกเวลา และบอกพวกเขาว่าอะไรคือข้อจำกัดของสิ่งที่พวกเขาทำได้ อะไรได้รับอนุญาต อะไรไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกันเราก็พูดเรื่องความรับผิดชอบกันตลอดเวลา และคุยกันว่าฉันเชื่อใจให้พวกเขาทำตามสิ่งที่เราตกลงร่วมกัน แน่นอนว่าฉันต้องการให้พวกเขารู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในสถานการณ์ และเสียงของพวกเขามีคนรับฟังเมื่อเราตกลงกันเรื่องกฎเกณฑ์ แน่นอนละว่ายังมีกฎตายตัวบางอย่างที่ต่อรองไม่ได้” – อันนิ โลวโกเมียส์ (เชื่อใจในตัวครู, น.153)

ปาสิ ซอห์ลเบิร์ก กับทิโมธี ดี. วอล์กเกอร์ ออกสำรวจดินแดนแห่งแสงเหนือและหาคำตอบเรื่องความเชื่อใจที่เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จทางการศึกษา พวกเขาเยี่ยมเยือนห้องเรียนและพูดคุยกับครูจำนวนมาก บรรดาครูต่างออกแบบห้องเรียนและวิธีสอนแตกต่างกันไป แต่หลักใหญ่ใจความที่หนีไม่พ้นคือ “ความเชื่อใจ”

กรณีของอันนิ โลวโกเมียส์ ครูประถมโรงเรียนฝึกสอนครูวีกกินี้ นอกจากเธอจะสอนเด็กประถมแล้ว เธอทำหน้าที่เป็นครูพี่เลี้ยงให้นักศึกษาฝึกสอนด้วย กล่าวคือเธอเห็นภาพใหญ่ของระบบการศึกษาฟินแลนด์ และปรัชญาการเรียนการสอนของฟินแลนด์แทบทั้งหมด สะท้อนให้เห็นในคำสัมภาษณ์ข้างต้นของเธอ

ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนักเรียนสู่กระบวนการพัฒนาการดูแลตัวเอง สื่อสารอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาถึงข้อจำกัด พูดเรื่องความรับผิดชอบกันตลอดเวลา ครูพูดคุยกับนักเรียนว่าฉันเชื่อใจพวกเธอ

และสำคัญที่สุดคือ การแสดงออกว่าเสียงของนักเรียนมีคนรับฟัง และกฎเกณฑ์ต้องเกิดขึ้นจากสองฝ่าย มิใช่ครูกำหนดเองอยู่ฝ่ายเดียว

 

สมุดบันทึก = ก้าวเล็กๆ ของการรับผิดชอบ

ครูทิม วอล์กเกอร์ หนึ่งในผู้เขียนของเราเดินทางมาจากบ้านเกิดเมืองนอนอย่างสหรัฐฯ ที่ซึ่งใช้ “ใบงาน” เป็นสื่อการเรียนการสอนหลัก เพราะสะดวกสบายสำหรับทั้งครูและเด็ก ครูไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชให้เด็กจดเนื้อหา ฝ่ายเด็กเองก็ไม่ต้องนั่งจดหรือคัดลอกโจทย์ปัญหาลงสมุด

แต่สิ่งที่ทิมพบคือ ตอนท้ายของทุกคาบ ใบงานปลิวเกลื่อนพื้นห้องเรียน

ในฟินแลนด์ ครูอเมริกันผู้นี้ได้เห็นสิ่งที่ต่างออกไปและทำเขาตาสว่าง ที่แท้แล้ว “สมุดบันทึก” นี่เองที่เป็นกุญแจสำคัญสู่การรู้จักรับผิดชอบตนเองของเด็ก การจดบันทึกช่วยให้นักเรียนรู้จักวางแผน คัดเลือกสิ่งสำคัญ หรือกรณีที่ครูแจกจำเป็นต้องแจกใบงาน เด็กก็สามารถนำมาทากาวติดลงสมุดบันทึกของตนได้ด้วย

และไม่มากก็น้อย มันบ่มเพาะให้เด็กรู้จักวิเคราะห์เนื้อหาที่ได้เรียนมา

นี่เป็นก้าวเล็กๆ ของเส้นทางสู่ความรับผิดชอบตนเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ว่าประเทศไหนก็ต่างหวังให้พลเมืองของตนมี

 

โอมาเอซิตีส เวทีเป็นของพวกเธอ

ความเชื่อใจและอิสรภาพไม่เพียงสร้างการรู้จักรับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังสร้างพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สมาชิกในชุมชนไม่ต้องรังแต่จะกลัวว่าจะทำผิดทำพลาด เอื้อให้เกิดอะไรใหม่ๆ ได้เสมอ

ในกรณีของครู ดังที่เรากล่าวไปแล้วในหลักการที่ 3 ครูที่มีพื้นที่ปลอดภัยและอิสระด้านเวลามากพอจะสร้างนวัตกรรม ทำงานวิจัย เตรียมสอน และร่วมมือกับเพื่อนครูเพื่อพัฒนาวิชาชีพ แต่ในกรณีของเด็ก เด็กอาจเป็น “ผู้ริเริ่มกระทำ” ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาบังคับ นี่เป็นหนึ่งในวิธีค้นหาตัวเองของพวกเขาด้วย

อย่างในช่วงพัก 15 นาที ขณะที่เด็กบางคนเล่นสนุกกับเพื่อนๆ บางคนอาจมีแผนจะขึ้น “เวที”

เด็กหญิงคนหนึ่งซ้อมม้วนหน้าม้วนหลังอย่างขมีขมัน เพราะเธอมีแผนจะโชว์ยิมนาสติกให้เพื่อนร่วมชั้นดู ส่วนเด็กชายง่วนกับการเขียนบท แก้ไข และฝึกซ้อมมุกตลกของตัวเอง เพราะเขามีแผนจะเดี่ยวไมโครโฟนโชว์เพื่อนๆ และครู ครูจึงจัดเวทีประกวดความสามารถพิเศษให้เสียเลย เรียกว่า โอมาเอซิตีส (oma esitys) แปลว่าการแสดงของเรา

ข้อแม้เดียวที่ครูขอไว้คือ ระหว่างซ้อมอย่าส่งเสียงดังเกินไปและอย่าก่อเหตุโกลาหล

ผลพลอยได้ที่ทุกคนไม่คาดคิดคือ นักเรียนบางคนมีพฤติกรรมในชั้นเรียนดีขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีช่วงเวลาเป็นของตัวเอง ความต้องการเป็นจุดสนใจในห้องเรียนก็ลดลง

 

 

ความรับผิดชอบของเด็ก กับความเชื่อใจสามระดับของครู!

“ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการยอมรับว่าพวกเขากำลังฝึกฝนทักษะเหล่านี้… ฉันต้องถ่ายทอดเป็นถ้อยคำให้พวกเขาฟัง ‘เอาละ คราวนี้พวกเราได้ลองทำแล้ว และดูเหมือนว่าเรายังต้องฝึกอีกมาก เพราะฉะนั้นเราอาจจำเป็นต้องถอยหลังไปสักก้าว’ นี่คือระบบของฉัน” – อันนิ โลวโกเมียส์ (Anni Loukomies) ครูประถมโรงเรียนฝึกสอนครูวีกกิ

จากระบบของครูอันนิ เราจะเห็นคำสำคัญคือ ฝึกฝน ทักษะ การสื่อสาร และการถอยหลังสักก้าว

นี่แสดงให้เห็นว่า “ความเชื่อใจ” เป็น “ทักษะ” ที่ทั้งเด็กนักเรียนและคุณครูต้องเรียนรู้ผ่านการ “ฝึกฝน” โดยใช้การ “สื่อสาร” (เป็นถ้อยคำ) อย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน หากลองแล้วล้มเหลว ก็แค่ “ถอยหลังสักก้าว”

อันนิ-มาริ อันต์ติลา (Anni-Mari Anttila) เพื่อนร่วมงานของทิมที่โรงเรียนคริสเตียนเอสโป พัฒนากรอบการทำงานที่หลากหลายเพื่อบ่มเพาะอำนาจตัดสินใจของนักเรียนชั้นเกรด 3-6 เรียกว่า “ความเชื่อใจสามระดับ” (Three Levels of Trust) กล่าวคือ ระดับการกำกับดูแลตนเองเป็นตัวกำหนดว่าควรมอบอิสรภาพแก่เด็กๆ มากเพียงใด

เป็นต้นว่า ระดับหนึ่ง นั่งทำงานได้เฉพาะในห้องของครูอันนิ-มาริเท่านั้น ระดับสอง นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ที่ครูอันนิ-มาริมองเห็น ระดับสามซึ่งคือระดับสูงสุด นักเรียนนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ แม้ว่าครูจะมองไม่เห็นก็ตาม

ครูในฟินแลนด์ต่างก็รู้ดีว่า การมอบความเชื่อใจให้นักเรียนนั้นเปิดโอกาสให้นักเรียนทำเรื่องผิดพลาด แต่นั่นแก้ไขได้ด้วยการถอยคนละก้าวไปเริ่มกันใหม่ ทว่าการไม่มอบความเชื่อใจและอิสรภาพเลยต่างหากที่น่ากลัวกว่า เพราะมันหมายถึงการไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไม่ว่าครูหรือนักเรียน

 

 

เปิดโลกการศึกษาฟินแลนด์และหลักเจ็ดประการสู่ความเชื่อใจกับหนังสือ

เชื่อใจในตัวครู: กุญแจสู่การศึกษาชั้นนำฉบับฟินแลนด์

Pasi Sahlberg & Timothy D. Walker เขียน

ทศพล ศรีพุ่ม แปล

256 หน้า

อ่านตัวอย่างเนื้อหาและสั่งซื้อได้ที่นี่